พระพุทธเจ้าได้เคยทำกรรมชั่วอะไรไว้บ้างในอดีต





เรื่อง พระพุทธเจ้าได้เคยทำกรรมชั่วอะไรไว้บ้างในอดีต
พระ พุทธเจ้าของเราทรงเผยพระประวัติกรรมและผลของกรรมของพระองค์ กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะประทับเหนือพระศิลาอันน่ารื่นรมย์ใกล้สระอโนดาด ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ๑๔ ข้อ ณ ที่นั้นว่า
๑. เราเห็นภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้ว ได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าในกาลนั้น ผลของกรรมคือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้า กรรมเก่าข้อแรกนี้เป็นกุศลกรรม
๒. ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาลต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัวจึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ แม้เราจะกระหายน้ำก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามปรารถนา
๓. ในชาติอื่นแต่กาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ บางแห่งเป็นมุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยกรรมอันเหลือนั้นในภพหลังสุด เราจึงได้รับคำกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา
๔. เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้วได้ถูกกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางสุนทริกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง
๕. เมื่อก่อนเราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพ ๕๐๐ คนอยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้นมาณพทั้งปวงเที่ยวไปภิกขาในสกุล พากันบอกแก่มหาชนว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุทั้ง ๕๐๐ เหล่านี้ได้รับคำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา
๖. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์จับใส่ลงในซอกเขา แล้วทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วเท้าของเราจนห้อเลือด
๗. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ในหนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผาดักไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา
๘. ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้างได้ไสช้าง ให้จับมัดพระปัจเจกมนีผู้สูงสุด แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีตัวดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอกเขา เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ
๙. ในกาลก่อน เราเป็นทหารราบ เป็นแม่ทัพฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมที่เหลือนั้น บัดนี้ไฟนั้นยังมาไหม้ที่เท้าของเราทั้งสิ้นอีก เพราะกรรมยังไม่พินาศไป
๑๐. ในกาลก่อน เราเป็นเด็กลูกของชาวประมงในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้วเกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะคือปวดศีรษะได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน ถูกพระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว พระเจ้าวิฏฏุภะนี้คือพระเจ้าวิฑูฑภะที่ฆ่าเจ้าศากยะนั่นเอง
๑๑. เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ว่า “ท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย” ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้วอยู่ในเมืองเวรัญชา ได้บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน
๑๒. ในเวลาที่นักมวยปล้ำๆ กันอยู่ เราได้เบียดเบียนบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความปวดหลังได้มีแก่เรา
๑๓. เมื่อก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้บุตรเศรษฐีตาย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นโรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา โรคนี้แหละที่เกิดแก่พระพุทธเจ้าของเราในเวลาใกล้จะปรินิพพาน
๑๔. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าว่า เมื่อเราเป็นมาณพชื่อโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหนโพธิญาณนั้นท่านได้ยากยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นเราได้ทำกรรมที่ทำได้ยากคือทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เรามิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ คือมิได้บรรลุโพธิญาณด้วยทุกกรกิริยานี้ เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณในทางที่ผิด บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวงไม่มีความโศกเศร้า ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน
---------------------------------------------------------------------------------
ข้อคิดจากเรื่องนี้..
เดี๋ยวนี้การสะเดาะเคราะห์แก้กรรม มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทั้งที่วัดและที่สำนักของอาจารย์ทั้งหลาย ผู้ตั้งตัวเป็นผู้แก้กรรมก็เป็นทั้ง พระ แม่ชี ฆราวาส จากเรื่องนี้ ท่านผู้อ่านลองดูก่อน นี้ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีกรรม และท่านก็เฉยที่จะแก้ไขกรรมเก่าใดๆของท่านเลย แล้วเราเป็นปุถุชนคนธรรมดาสามารถทำอะไรกับกรรมเก่านี้ได้ไหม?
เรื่องทำบุญแก้กรรม กรรมดีกรรมชั่วเมื่อทำไว้ไม่หายไปไหน สุดท้ายแค่รอเวลาให้ผลในวันหนึ่ง การ **แก้กรรม** ตามหลักพุทธศาสนาถือว่าทำไม่ได้ (แต่ทำให้**หมดกรรม**ได้) สามารถบรรเทาหรือเลื่อนการให้ผลออกไปได้ สิ่งสำคัญสุดสำหรับคนอยาก แก้กรรม(บรรเทา) คือจิตที่สำนึกผิดและตั้งใจมั่นจะไม่เบียดเบียนใครในทุกด้านอีกแล้วตลอด ชีวิต ซึ่งต้องยอมรับผลกรรมส่วนหนึ่งด้วย ไม่ใช่จะหนีไม่ยอมรับโทษเลย แยกแยะให้ดีๆ นะครับ ระหว่างคำว่า แก้กรรม กับ หมดกรรม
----------------------------------------------------------------------------------
เราควรกระทำ 3 อย่าง
1.เฉย ยอมรับวิบากกรรมอันนั้น ถือว่ากรรมสิ้นสุดลง
2.ถ้า ประทุษร้ายตอบ เท่ากับพอรับผลกรรมชั่วแล้ว ก็สร้างกรรมชั่วขึ้นมาใหม่ ในภายภาคหน้าก็จะโดนประทุษร้ายอีก
3. ให้อภัย และแผ่เมตตา เท่ากับรับวิบากกรรมเก่าแล้ว ก็สร้างวิบากกรรมดีขึ้นมาแทน ในกาลต่อไป ศัตรูนั้นก็จะกลายเป็นมิตร หรือได้รับวิบากกรรมดีแทน
ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าได้ท้อแท้กับเรื่องที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตเรานะครับ ขอให้เรายอมรับ และให้ใช้สติปัญญา แก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ขอให้ธรรมะ นำทางแก่ทุกท่าน
----------------------------------------------------------------------------------
ส่วนวิธีที่จะให้หมดกรรมเลยนั้น เราสามารถทำได้อย่างแน่นอน ขอยกที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ให้ท่านผู้อ่านลองคิดดู
*****ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมเป็นไฉน สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ*****
เพราะฉะนั้น อริยมรรคมีองค์ 8 ย่อลงมาให้สั้นๆคือ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เราหมดกรรม ถึงที่สุดแห่งความหมดทุกข์ได้ นั้นคือการเข้าสู่มรรคผลนิพานนั้นเอง
ผู้เขียน...เรื่องนี้ยาวสักหน่อยครับ แต่ก็หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับประโยชน์ ไม่มากก็น้อย
ขอบพระคุณที่ติดตาม
----------------------------------------------------------------------------------
ที่มา
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓ อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต - หน้าที่ 219
ว่าด้วย บุพจริยาของพระองค์เอง
http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=32&A=7849&Z=7924
----------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham
เว็บไซค์ : http://nitandham.blogspot.com
Youtube : https://goo.gl/F27gUr
เข้าร่วมกลุ่มของเราได้ที่
https://www.facebook.com/groups/Nitandham/
----------------------------------------------------------------------------------

80 เรื่องของ ในหลวง ที่เรา ไม่เคยรู้





80 เรื่องของ ในหลวง ที่เรา ไม่เคยรู้

ในฐานะคนไทยแล้ว คุณคิดว่า คุณรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์ดีหรือยัง หากว่ายังลองเข้าไปอ่าน 80 เรื่องราวของในหลวง ซึ่งบางเรื่องคุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นได้....

**เมื่อทรงพระเยาว์**
1. ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.(เวลาท้องถิ่น สหรัฐฯ)
2. นายแพทย์ผู้ถวายการคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3. พระนาม "ภูมิพล" ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4. พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5. ทรงมีชื่อเล่นว่า “เล็ก” หรือ “พระองค์เล็ก”
6. เสด็จนิวัตสู่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อพระชนม์ 2 พรรษา พร้อมด้วยสมเด็จพระชนกและสมเด็จพระชนนี
7. ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างสามัญชนว่า "แม่"
8. สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9. แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10. สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11. สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า "บ๊อบบี้"
12. ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้น บ่อยๆ
13. สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที่ ในหลวงจะทรงต่อรองว่าทีเดียวก็พอ
14. ระหว่างประทับอยู่สวิส จะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศสกับสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระพระเจ้าพี่นางเธอฯ แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
16.ในหลวงทรงเชี่ยวชาญในภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมันและลาติน
15. ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก "การให้" โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า "กระป๋องคนจน" หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก "เก็บภาษี" หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำ อะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16. ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าตอบว่า "ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน"
17. กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18. ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
**ทรงศึกษาวิชาการต่าง ๆ**
19. ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า "H.H Bhummibol Mahidol" หมายเลขประจำตัว 449
20. ทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโลซานน์ แผนกวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
21. หลังจากที่เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศสวิสอีกครั้งเพื่อทรงศึกษาวิชาใหม่ คือกฎหมาย และการปกครอง เนื่องจากต้องรับพระราชภาระเป็นพระมหากษัตริย์ ในด้านวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ทรงศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศ เกี่ยวกับพื้นฐานและวัฒนธรรมของแต่ละชาติ เพื่อเป็นแนวปรับปรุงแก้ไขประเทศไทยให้เจริญขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชปรารภอยู่เสมอว่า ประเทศไทยของพระองค์ยังล้าหลังประเทศอื่นอยู่มาก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการศึกษา ฯลฯ
22.ในหลวงทรงเชี่ยวชาญในภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมันและละติน

**พระอัจฉริยภาพ**

23. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก “การเล่น” สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากทรงอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ทรงประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับสมเด็จพระเชษฐา เพื่อซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วทรงนำมาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
24. สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และแผนภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์
25. ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด แต่ทรงโปรดแคลริเนท , แซกโซโพนและทรัมเป็ตมากที่สุดแต่เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
26. ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาทรงหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
27. ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
28. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ “แสงเทียน” จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
29. ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง “เราสู้”
30.วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2506 เสด็จทรงปลูกต้นนนทรี 9 ต้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน พร้อมทั้งทรงดนตรีเป็นครั้งแรกร่วมกับวง "อ.ส.วันศุกร์" ซึ่งมีอาจารย์และศิษย์เก่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมด้วย คือ ศ.ดร.ระพี สาคริก และนายอวบ เหมะรัชตะ
31. ทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านการช่าง ซึ่งทรงโปรดหุ่นจำลองต่าง ๆ เช่นเรือใบเรือรบเป็นต้น ในคราวเสด็จนิวัตเมืองไทย ตอนก่อนสงครามโลก ได้ทรงจำลองเรือรบหลวงศรีอยุธยาจนเป็นผลสำเร็จ ครั้นแล้วเจ้าพระยารามราฆพก็ได้ทูลขอพระราชทานไปสำหรับให้พ่อค้าประชาชนได้ ประมูลราคากันเพื่อเก็บเงินบำรุงโรงพยาบาลปราบวัณโรค ทรงถ่ายรูปไว้แล้วพระราชทานให้ไปตามประสงค์ ปรากฏว่า น.ส.เลอลักษณ์ เศรษฐบุตร ได้ประมูลซื้อไปเป็นเงินถึง 20,000 บาท อนึ่ง แม้แต่รูปเรือลำนั้นที่ทรงถ่ายโดยฝีพระหัตถ์ นายสหัส มหาคุณ เป็นผู้ประมูลซื้อไปถึงรูปละ 3,000 บาท
32. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉาย เพื่อนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
33. พระราชนิพนธ์เรื่อง ”นายอินทร์” และ “ติโต” ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่เรื่องพระมหาชนกทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
34. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ”กีฬาซีเกมส์”) ครั้งที่ 4 ปี 2510
35. ครั้งหนึ่งในหลวงทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งและตรัส กับผู้ที่คอยมาเฝ้าว่า เสด็จกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
36. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ์คิด ค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 2536
37. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็น พลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
38. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

**เรื่องส่วนพระองค์**

39. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 ณ พระตำหนัก “วิลลาวัฒนา” และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493
40.ในพระราชพิธีอภิเษกสมรส ในหลวงทรงพระราชทานของที่ระลึกแก่พระบรมวงศานุวงศ์และพระญาติ คือ หีบเงินขนาดเล็กมีพระปรมาภิไธยคู่ปรากฏบนหีบนั้น
41. หลังอภิเษกสมรส ทรงเสด็จ “ฮันนีมูน” ที่หัวหิน
42. ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระนามเต็มของในหลวงคือ... พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
43.พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการเป็นสัจวาจาว่า “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”
44. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
45. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาและพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า(หม่อมราชวงศ์ชื่น นพวงศ์ฉายา สุจิตฺโต ป.๗) วัดบวรนิเวศวิหาร
46. ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
47. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
48. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ
พระราชกรณียกิจ
49. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบันมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
50. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
51. ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าถวายงาน
52. ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้อราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
53. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศ ที่ทรงหาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
54. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
55. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
56. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ”
57. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
58.ตั้งแต่ปี2539 เป็นต้นมา ทรงพระราชทานแนวทางดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” เพื่อให้ราษฎรได้พึ่งพาตนเองได้

**ของทรงโปรด**

59. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
60. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
61. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
62. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
63. ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
64. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100 ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
65. ตอนเช้าเมื่อตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
66. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อจนถึงปัจจุบัน
67. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
68. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
69. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”
70. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีพระชนม์เพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอด
71. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า “อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”
72. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
73. หัวใจทรงเต้นไม่ปกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสมา ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
74. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
75.ในหลวงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก
76.ในงานเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มีพระราชวงศ์จากทั่วโลกเสด็จมาร่วมงาน 25 ราชวงศ์
77. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6 ล้านคน
78. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
79. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
80. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง


ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระเกษมสำราญ มีพระพลานมัยแข็งแรงสมบูรณ์ ทรงหายจากอาการพระประชวร มีพระชนม์ยิ่งยืนนาน
เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย ตลอดกาลนานเทอญ.
--------------------------------------------------------------------
ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham
เว็บไซค์ : http://nitandham.blogspot.com
Youtube : https://goo.gl/F27gUr
เข้าร่วมกลุ่มของเราได้ที่ https://www.facebook.com/groups/Nitandham/
--------------------------------------------------------------------

สามเณรปลาดุก

ปีนี้ วัดป่าภูผาแดงมีสามเณรตัวน้อยๆมาจำพรรษา ชื่อว่าสามเณรปลาดุก
มีชื่อจริงฟังดูน่าเกรงขามดีว่า สามเณรประยุทธ
เณรปลาดุก อายุเพี ยง 5 ขวบ แต่สามารถทำข้อวัตรปฏิบัติกิจได้เหมือนสามเณรผู้ใหญ่ เณรปลาดุกตื่นตี ๔ ทุกวัน พอถึงเวลาตี ๕ เณรจะลงมาที่ศาลาใหญ่เพื่อจัดบาตร จากนั้นออกไปเดินบิณฑบาตกับพระสงฆ์ โดยเณรปลาดุกจะเดินเป็นรูปสุดท้าย ปิดท้ายแถว หลังจากบิณฑบาตเสร็จ เณรจะกลับมาฉันในบาตร เมื่อฉันเสร็จจะล้างบาตรเอง จากนั้นกลับกุฏิ เวลาบ่ายโมงมาจัดโรงน้ำร้อนช่วยครูบาอาจารย์ ฉันน้ำร้อนเรียบร้อย บ่ายสามโมงครึ่งทำข้อวัตร กวาดตาด ถูศาลา เสร็จแล้วกลับกุฏิ สรงน้ำ ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา จากนั้นจำวัตร
.






ส่วนข้อวัตรที่เกี่ยวข้องกับองค์หลวงปู่ลี กุสลธโรนั้น เวลา ๕ โมงเย็น เณรปลาดุกจะเข้าไปนั่งเฝ้าหลวงปู่ คอยเก็บผ้าขาวที่หลวงปู่ใช้แล้วเพื่อเอาไปซัก ระหว่างนี้ถ้าองค์หลวงปู่นอนหลับ เณรปลาดุกจะนั่งภาวนา ซึ่งความสามารถในการนั่งภาวนาของเณรน้อยนั้น ครูบาอาจารย์ท่านว่า สามารถนั่งได้นานถึง ๒ ชั่วโมงโดยไม่กระดุกกระดิกเลย โดยหลวงปู่ท่านจะเอ็นดูโดยให้ช็อกโกแลตแก่เณร เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ หากศรัทธาญาติโยมท่านใด อยากช่วยกันสืบต่อพระพุทธศาสนา ก็ขอเชิญใส่บาตรเณรปลาดุกได้ทุกวันที่บ้านหนองอ้อ และบริเวณหน้าวัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี - ขออนุโมทนา 


ในหลวง เมื่อครั้ง ทรงพระเยาว์

 
ชีวิตเมื่อทรงพระเยาว์ และการศึกษา 
หลัง จากพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จึงตกเป็นพระราชภาระในสมเด็จพระบรมราชชนนีที่จะทรงอภิบาลพระราชโอรสพระราช ธิดาทั้ง 3 พระองค์ตามลำพัง พระราชภาระนี้ช่างใหญ่หลวงนัก แต่ด้วยเดชะพระบารมี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงพระปรีชาสามารอย่างยิ่ง ทรงอภิบาลรักษาพระโอรสและพระธิดาให้ทรงพระเจริญ เพียบพร้อมด้วยพระราชจริยาวัตรสมบูรณ์ด้วยพระสติปัญญาสมพระอิสริยยศ และเป็นความหวังของปวงชนชาวไทยจนกระทั่งบัดนี้
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงมี พระราชดำริว่า การเลี้ยงดูอบรมเด็กนั้นมีหลักสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ เด็กต้องมีพลานามัยสมบูรณ์ประการหนึ่ง และเด็กต้องอยู่ในระเบียบวินัย โดยไม่บังคับเข้มงวดจนเกินไป

www.facebook.com/Nitandham

สมเด็จ พระบรมราชชนนีให้การอภิบาลพระราชโอรสและพระราชธิดาเมื่อยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงถือตามหลักดังกล่าวนั้น ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่เรื่องพระกระยาหารของพระราชโอกาสและพระธิดา ให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ทรงให้เล่นออกกำลังกาย และทรงสั่งสอนให้อยู่ในระเบียบวินัย ซื่อสัตย์ต่อเวลา เนื่องด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนีทรงได้ศึกษาวิชาพยาบาลจากศิริราชพยาบาล และตอนประทับอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้ทรงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้านอนามัยและโภชนาการ ซึ่งความรู้เหล่านี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการอภิบาลบำรุงพระราชโอรสและพระราช ธิดาได้เป็นอย่างดีเมื่อยังทรงพระเยาว์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ อยู่ ณ พระตำหนักใหม่วังสระปทุม ถนนพญาไทย พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช และพระเชษฐภคินี จากตำหนักใหม่ที่ประทับมีถนนสู่พระตำหนักใหญ่ที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวริน ทิราบรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเป็นพระตำหนักอยู่ในบริเวณเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปเข้าเฝ้า สมเด็จพระอัยยิกาเสมอ ๆ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี พระเชษฐาธิราช และพระเชษฐภคินี ครั้งหนึ่งเมื่อยังทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล่นสนุกบนรถลากสองล้อจนพลัดตกลงมาเป็นแผล จนสมเด็จพระบรมราชชนนีไม่นำเข้าเสด็จขึ้นเฝ้า ด้วยทรงเกรงว่าสมเด็จพระอัยยิกาจะทรงเป็นห่วงพระราชนัดดานั่นเอง


สมเด็จ พระบรมราชชนนีทรงเห็นว่า การเล่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็ก จึงทรงสนับสนุนให้พระราชโอรสและพระราชธิดาได้ทรงเล่น เพื่อเป็นการออกกำลังกายพระรวรกายเหมือนธรรมชาติเด็กทั่ว ๆ ไป แม้แต่การเล่นน้ำ เล่นไฟ หรือเล่นดินเล่นทรายที่ผู้ใหญ่ไม่ยอมให้เด็ก ๆ เล่น เพราะเกรงจะเป็นอันตรายหรือกลัวสกปรกเปื้อนเปรอะ แต่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงอนุญาตให้พระราชโอรส พระราชธิดา ทรงเล่นได้ ท่านทรงควบคุมดูแลด้วยพระองค์เอง โดยให้เล่นในที่ปลอดภัย เล่นในบ่อที่น้ำตื้น ๆ หรือในบริเวณที่ทรงสามารถควบคุมไม่ให้เกิดอันตราย หรือสกปรกเลอะเทอะ ฉะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อทรงพระเยาว์จึงทรงมีโอกาสได้เล่นสนุกอย่าง เด็ก ๆ ทั่วไป ทรงเล่นขุดดิน ทรงเล่นทราย เล่นน้ำ แม้กระทั่งทรงเล่นจุดไฟ... ทั้งยังทรงเล่นขับรถยนต์ด้วย แม้จะเป็นรถยนต์เก่าที่ไม่ใช้แล้ว สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงให้มหาดเล็กยกขึ้นวางบนคานไม้ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวัยพระเยาว์ พร้อมด้วยพระบรมเชษฐาก็ทรงขึ้นไปนั่งทำเหมือนขับรถจริง ๆ แม้ว่าสมเด็จพระบรมราชชนนีจะทรงสนับสนุนให้พระราชโอกาสและพระราชธิดาทรงเล่น ตามประสาเด็ก ๆ แต่ทั้งสามพระองค์ก็ทรงอยู่ในระเบียบวินัย ต้องทรงปฏิบัติตามเวลา ไม่ใช่เถลไถลไปทำโน่นทำนี่ และต้องทรงตรงต่อเวลาอีกด้วย

เมื่อ ครั้งประทับอยู่พระตำหนักใหม่ ในวังสระปทุม จะตีฆ้องบอกสัญญาณให้รู้ว่า ถึงเวลาเสวยพระกระยาหารกลางวันแล้ว บางครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมเชษฐาทรงเล่นเพลิดเพลิน ไม่ทรงเลิก สมเด็จพระบรมราชชนนีจะทรงให้เล่นต่อไป แต่ครั้งถึงเวลาบรรทมตอนบ่ายพระองค์จะทรงตามให้เสด็จมาชำระพระหัตถ์ให้สะอาด แล้วให้เสด็จขึ้นแท่นบรรทมโดยไม่ทรงอนุญาตให้เสวยพระกระยาหาร จนกว่าจะถึงเวลาเสวยนมตอนบ่ายสีโมงเย็น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมเชษฐาธิราช และพระเชษฐภคินี ต่างทรงถูกฝึกฝนความมีระเบียบวินัยมาแต่ทรงพระเยาว์ สมเด็จพระอัยยิกาก็ทรงสนับสนุนให้พระราชนัดดาอยู่ในระเบียบวินัย วันหนึ่งพระราชนัดดามาเฝ้า ฯ ที่โต๊ะเสวย ทอดพระเนตรเห็นอาหารหลากหลายชนิด ทรงชี้พระหัตถ์ว่า
“นี่น่าอร่อย นี่ก็น่าอร่อย” สมเด็จพระอัยยิกาใคร่จะประทานครั้งนึกได้“ไม่ได้...ไม่ได้ แม่เขาจะว่า” จึงทรงให้คนห่อแบ่งเอาไปถวายที่พระตำหนักใหม่ให้เสวยเมื่อถึงเวลาที่จะเสวย


เรื่อง การอบรมเด็กให้มีระเบียบวินัย ครั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา และทรงมีครอบครัวของพระองค์เอง ก็ทรงนำมาเป็นหลักปฏิบัติในการอบรมพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าว่า เมื่อทรงพระเยาว์พระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ต้องทรงปฏิบัติตามตารางเวลาที่พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงวางไว้ให้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เช่น
“เช้าต้องดูหนังสือ กินข้าว แล้วเดินไปโรงเรียน ตอบบ่ายกลับมาขึ้นเฝ้า ฯ ให้ท่านเห็นหน้าเห็นตา บ่ายสองสามโมงออกอากาศ (เดินเล่น) ห้าโมงขึ้นมากินข้าวเย็น ทุ่มหนึ่งก็เข้านอน”
ในพระบรมราโชวาทพระราชทานแก่เยาวชนของชาติ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ 8 มกราคม พ.ศ.2526 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้ถึงความสำคัญของการมีระเบียบวินัยดังนี้
“เด็ก ๆ ต้องฝึกหัดอบรมทั้งกายทั้งใจให้เข้มแข็ง เป็นระเบียบและสุจริต เพื่อประโยชน์ของตนในภายหน้า เพราะคนที่ไม่เข้มแข็งไม่สามารถควบคุมกายใจให้อยู่ในระเบียบและความดี ยากนักที่จะได้ประสบความสำเร็จ และความเจริญอย่างแท้จริงในชีวิต”เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมา ยุ 5 พรรษา ได้เข้ารับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ถนนเพลินจิต กรุงเทพมหานคร


หลัง จากนั้นไม่นาน ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มา เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 สถานการณ์การเมืองที่ผันแปร ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เป็นผลให้สถานภาพของพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการบางกลุ่มต้องออกจากราชการ เจ้านายหลายพระองค์ต้องเสด็จออกจากประเทศไทยไปพำนักอยู่ในประเทศต่างแดน เมื่อความขัดแย้งระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 กับรัฐบาลของนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้า “คณะราษฎร” มากยิ่งขึ้น จนไม่อาจจะประนีประนอมได้ ความยุ่งยากทางการเมืองก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อพระชนม์ ชีพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมเชษฐาธิราช แบะพระเชษฐภคินี
ดัง นั้น ในราวต้นปี พ.ศ.2476 สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปก เกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พาพระโอรสและพระธิดาเสด็จไปประทับที่เมืองโลซานน์ (Lausanne) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติในเดือนมีนาคม พ.ศ.2477 และทรงสละพระราชสิทธิในการแต่งตั้งผู้สืบราชสมบัติด้วย รัฐบาลจึงได้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชย์ เพราะทรงอยู่ในลำดับที่หนึ่ง แห่งการสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล พุทธศักราช 2467 ซึ่งตอนนั้นพระบรมเชษฐามีพระชนมายุ 9 พรรษาเท่านั้น

หลัง จากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเสด็จขึ้นครองราชย์ การดำรงพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเชษฐภคินี คงใช้ชีวิตที่สงบเรียบง่าย ทั้ง 3 พระองค์ยังประทับและทรงศึกษาอยู่ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต่อไป แต่ในครั้งนั้นได้ทรงย้ายไปประทับ ณ พระตำหนักวิลล่าวัฒนา ที่เมืองพุลลี่ (Pully) ใกล้กับทะเลสาบเลอมัง ซึ่งกว้างขวางกว่าพระตำหนักหลังเดิม เพื่อความเหมาะสมกับพระราชสถานะใหม่ที่ทรงได้รับ ซึ่งสถาปนาขึ้นเป็น “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช” เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.247ต่อมาในปี พ.ศ.2478 พระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมเชษฐาธิราช ย้ายจากโรงเรียนเมียร์มองต์ (Miremont) ที่ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ มาทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนแห่งใหม่ชื่อโรงเรียนนูเวลล์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติ ทรงเรียนจนสอบไล่ได้ชั้นมัธยมปลาย และทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ ทรงเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยโลซานน์ (Lausanne University) โดยทรงเลือกศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์แขนงวิศวกรรมศาสตร์ ตอนแรกทรงเป็นนักศึกษาไป-กลับ จนสองปีสุดท้ายจึงทรงเป็นนักศึกษาประจำ เพื่อต้องการทรงทราบชีวิตนักศึกษาประจำ ที่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง


ตลอด เวลาที่ประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลทรงอบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสและพระราชธิดาให้ดำรง ชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายเยี่ยงสามัญชน ทรงสอนให้รู้จักประหยัดรู้คุณค่าของเงิน และมิให้ทรงรังเกียจงานสุจริตทุกประเภท
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชทรงใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเพราะพระชนมพรรษาห่างกัน เพียง 2 พรรษาเท่านั้น ทั้งสองพระองค์ทรงโปรดของหลายสิ่งคล้ายกัน แม้แต่การทรงฉลองพระองค์พระองค์มักจะทรงเลือกแบบเดียวกัน ทรงโปรดเรื่องเรือรบและเครื่องบินเหมือนกัน ทรงรวบรวมสมุดภาพเรือรบและเรือจำลงไว้หลายลำ เมื่อพระชนมพรรษามากขึ้นก็ทรงโปรดดนตรี และทรงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าเหมือนกัน
แม้ขณะนั้นจะทรงเป็น “เจ้าฟ้า” แล้ว แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงรับเงินใช้ส่วนตัวไม่มากนัก เงินที่ทรงรับพอจะซื้อช็อกโกแลตหรือหนังสือ และของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น สมเด็จพระบรมราชชะนีทรงสอนให้รู้จักประหยัดอดออมเงิน ให้ทรงรู้จักเก็บเงินฝากธนาคาร ทรงชอบทำและประดิษฐ์ของเล่นเอง สมเด็จพระบรมราชชนนีไม่ใคร่จะทรงซื้อให้บ่อยครั้งนัก เว้นแต่ช่วงวันปีใหม่ และวันพระราชสมภพ โดยมากจะเป็นของชิ้นโต ๆ ที่พระราชโอรส พระราชธิดาทูลขอล่วงหน้า
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสนับสนุนไห้ทรงทำกิจกรรม ที่เป็นประโยชน์ เช่น ทรงต่อเรือลำเล็ก ๆ พระองค์และสมเด็จพระบรมเชษฐา ทรงช่วยกันเปิดตำราที่สอนการประกอบวิทยุ ทรงต่อวิทยุตามตำราจนสำเร็จใช้การได้ ทรงคิดสร้างแบบและทรงต่อเรือใบเล็กด้วยพระองค์เองในระหว่างปี พ.ศ.2509-2510 พระราชทานชื่อว่า เรือมด, เรือซูเปอร์มด และเรือไมโครมดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติตามพุทธภาษิตเกี่ยว กับการประดิษฐ์ของใช้เองว่า ภตฺเต ผู้ทำเองย่อมรื่นรมย์
จากหนังสือ ในหลวงของปวงไทย โดย โชติ ศรีสุวรรณ
ผมเอามา re-post อีกครั้ง ต้องขอขอบคุณที่มา http://militaryloveking2.blogspot.com/2010/10/blog-post_1896.html.

---------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham
เว็บไซค์ : http://nitandham.blogspot.com
Youtube : https://goo.gl/F27gUr
---------------------------------------------------------------------------------------

นาคกับพญาครุฑ


นิทานชาดก
เรื่อง นาคกับพญาครุฑ 

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พูดมุสาแล้วถูกแผ่นดินสูบ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าชาวเมืองพาราณสีประมาณ ๕๐๐ คน แล่นสำเภาไปในมหาสมุทรเพื่อไปค้าขายเมือง อื่น ในวันที่ ๗ สำเภาถูกพายุกระหน่ำล่มกลางทะเล ผู้คนล้มตาย เป็นเหยื่อของปลาหมดหลงเหลือเพียงชายคนหนึ่งถูกลมพัดกระหน่ำไปขึ้นที่ฝั่ง ท่าน้ำกทัมพิยะ เสิ้อผ้าไม่มี เปลือยกายล่อนจ้อน เดินเที่ยวขอทานอยู่
พวกชาวบ้านพบเห็นเขาก็พากันยกย่องเขาว่าเป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นนักบวช จึงพากันสักการะบูชาเขาเป็นการใหญ่ นับตั้งแต่วันนั้นมาเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะนุ่งห่มเสื้อผ้าได้ลาภสักการะจำนวน มาก ถูกคนเรียกหาว่า กทัมพิยอเจลกะ (ชีเปลือยทัมพิยะ)
ในสมัยนั้น มีพญานาคตนหนึ่งชื่อบัณฑรกนาคราช และพญาครุฑตนหนึ่งจะพากันมาปรึกษาชีเปลือยนั้นอยู่เป็นประจำอยู่มาวันหนึ่ง พญาครุฑมาหาชีเปลือยแล้วขอร้องว่า "ท่านขอรับพวกญาติของผมจำนวนมาก ตายเพราะจับพวกนาคโดยไม่ทราบสาเหตุ ขอความกรุณาจากท่านช่วยถามพญานาคให้ผมด้วยเถิด"
ชีเปลือยนั้นรับคำจะถามให้ เมื่อพญานาคมาหาจึงถามความนั้นพญานาคตอบว่า "ท่านขอรับเรื่องนี้เป็นความลับของพวกกระผม ถ้าผมบอกท่านเท่ากับผมนำความตายมาสู่ตนเอง และพวกญาติ จึงไม่ขอตอบได้ไหม"
ชีเปลือย "พญานาค เราจะไม่บอกใครหรอก ถามเพราะอยากจะทราบเท่านั้นเองละ จงบอกเถิด"
พญานาคตอบว่า "ผมบอกไม่ได้หรอกครับท่าน" ไหว้ชีเปลือยแล้วก็กลับไป ชีเปลือยถามเช่นนั้นอยู่ ๒ วัน พญานาคก็ไม่ยอมบอกเช่นเดิม ในวันที่ ๓ พญานาคพอถูกชีเปลือยถามอีกจึงกำชับชีเปลือยอย่าได้บอกใคร แล้วก็เล่าให้ฟังว่า "ท่านขอรับเพราะพวกกระผมกลืนกินก้อนหินทุกวันทำให้ตัวหนักนอนอยู่ เมื่อพวกครุฑมาจับที่หัวลากไป จึงถ่วงพวกครุฑจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก พวกครุฑมันโง่จึงจับที่หัว ถ้ามันจับหางของพวกเราหินก็จะไหลออกจากปากสามารถนำพวกเราไปได้ ความลับก็มีอยู่เท่านี้แหละท่าน" แล้วก็ลากลับไป
อีกวันต่อมา เมื่อพญาครุฑมาหาเปลือยผู้ทุศีลก็เล่าเรื่องนั้นให้ฟัง พญาครุฑจึงปรี่เข้าไปจับขนดหางพญานาคโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไป พญานาคเมื่อทราบความลับถูกเปิดเผลแล้ว จึงคร่ำครวญว่า "ภัยเกิดจากตัวเองแท้ๆ ที่พูดพล่อยไม่ปิดบัง บอกความลับแก่ใคร จึงได้บอกออกไปน่าเจ็บใจจริง ๆ "
พญาครุฑพูดว่า "ท่านนาคราช ท่านบอกความลับแก่ชีเปลือยแล้ว จะมาคร่ำครวญอยู่ทำไม สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีในโลกขึ้นชื่อว่าความลับไม่ควรบอกใครๆ ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา พี่น้องแม้กระทั่งภรรยาและบุตรธิดา" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
"บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับ พึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่ไม่เปิดเผยได้เป็นการดีบัณฑิตไม่ควรบอกความลับ แก่สตรี ศัตรู คนที่ใช้อามิสล่อ และคนผู้ล้วงความลับ"
พญานาคได้ฟังธรรมของพญาครุฑแล้วอ้อนวอนขอชีวิตว่า "ท่านพยาครุฑ ข้าพเจ้าขอชีวิตจากท่าน ขอท่านจงตั้งตนดุจเป็นมารดาของข้าพเจ้าเถิด"
พญาครุฑตอบว่า "เอาเถอะ เราจะปล่อยท่านไป แต่ว่า บุตรมี ๓ จำพวก คือ ศิษย์ บุตรบุญธรรม และบุตรตัวเอง ท่านยินดีจะเป็นบุตรประเภทไหนของเราละ" ว่าแล้วก็ปล่อยพญานาคไป สัตว์ทั้ง ๒ ก็อยู่กันอย่างสามัคคีกันเช่นเดิม
ต่อมาวันหนึ่งสัตว์ทั้ง ๒ ได้ชวนกันไปหาชีเปลือยอีก พญาครุฑทราบว่าพญานาคจักหมายชีวิตชีเปลือย จึงไม่เข้าไปหาปล่อยให้แต่พญานาคผู้เดียวเข้าไปหาชีเปลือยนั้น พญานาคได้กล่าวติเตียนและสาบแช่งชีเปลือยว่า "ท่านเป็นคนเลวทรามประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ไม่รักษาคำสัตย์ ขอให้หัวของท่านจงแตกเป็น ๗ เสี่ยง" กล่าวจบก็พากันกลับไปที่อยู่ของตนส่วนชีเปลื่อยพอสัตว์ทั้ง ๒ จากไปเท่านั้น หัวก็แตกออกเป็น ๗ เสี่ยงสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในนรก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความลับไม่ควรเปิดเผยให้ใครที่ไหนทราบดังคำมีว่า ความลับไม่ให้ถึงสาม ความงามไม่ให้ถึงสี่ ความมิดความหมี่ไม่ให้ถึงห้าถึงหก
 
ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham

หลวงปู่มั่น เล่าเรื่อง อริยบุคคลในต่างประเทศ และความสมบูรณ์พร้อมของประเทศไทย



อริยบุคคลในต่างประเทศ และความสมบูรณ์พร้อมของประเทศไทย

หลวงปู่มั่น เล่าเรื่อง 
คำบอกเล่าของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
เรื่องอริยบุคคลนี้ ท่านพระอาจารย์ปรารภไว้หลายสถานที่หลายวาระ ต่างๆ กันแล้วแต่เหตุ
ท่านเล่าว่า ชาวพุทธมีหลายประเทศ แต่จะขอกล่าวเฉพาะใกล้เคียง เขมร ลาว เวียดนาม และพม่า นอกนี้ไม่กล่าว
ท่านพระอาจารย์บอกว่า

"เราไม่ได้ว่าเขาเหล่านั้น แต่ได้พิจารณาแล้ว ไม่มีก็ว่าไม่มี มีก็ว่ามี"
ท่านพระอาจารย์หมายถึง พระอริยบุคคลในประเทศเหล่านี้
..มีที่ประเทศพม่าเพียงคนเดียว ..
คือ หมู่บ้านที่ท่านไปจำพรรษา เป็นผ้าขาว ที่ผู้เล่าเคยเล่าว่า บุตรสาว บุตรเขย และบุตรชายของตาผ้าขาวนั้นละ ที่มาจัดเสนาสนะของบิดาเขาถวายท่านพระอาจารย์และท่านเจ้าคุณบุญมั่น ครั้งจำพรรษาที่ประเทศพม่า...ท่านว่า
"ยกเว้นสยามประเทศแล้วนอกนั้นไม่มี"
"สำหรับสยามประเทศ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน มีติดต่อมาโดยไม่ขาดสาย ทั้งคฤหัสถ์ชายหญิงและบรรพชิต แต่มรรคขั้นต้นคฤหัสถ์มากกว่า ทั้งปริมาณและมีสิกขาน้อยกว่า"
ท่านเล่าต่อไปว่า เราไม่ได้ว่าเขา เราไม่ได้ดูหมิ่นเขา เพราะประเทศเหล่านั้นขาดความพร้อม คือ คุณสมบัติหลายอย่าง เช่น เรื่องอักขระ ที่ไม่เป็นพุทธภาษา คือ ฐานกรณ์วิบัติ และองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ องค์พระมหากษัตริย์ของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนานี้ก็สำคัญ ขาดไม่ได้ ถ้าขาดไป อริยบุคคลก็ขาดไปด้วย
ท่านพระอาจารย์ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าจะทรงประกาศพระศาสนา ทรงหาหลักค้ำประกันอันมั่นคง คือ มุ่งไปที่พระเจ้าพิมพิสาร ความสำคัญอันนี้มีมาตลอด หากประเทศใดไม่มีองค์ประกอบนี้ ซึ่งเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก ก็ปฏิเสธได้เลย
เปรียบเหมือนกับก้อนเส้า 3 ก้อน
ก้อนที่ 1 คือ ความเป็นชาติ
ก้อนที่ 2 มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
ก้อนที่ 3 มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก
หากขาดไปก้อนใดก้อนหนึ่ง ก็จะขาดความสมบูรณ์ไป ไม่สามารถจะใช้นึ่งต้มแกงหุงหาอาหารได้
ผู้เขียน..เราโชคดีขนาดไหนแล้ว โชคดีที่1 ได้เกิดเป็นมนุษย์
โชคดีที่2 ได้มานับถือศาสนาพุทธ โชคดีที่3 ได้เกิดในประเทศที่เหมาะสม
เพราะฉะนั้นขอให้มั่นใจในแนวทางปฏิบัติ ของพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทางปฏิบัติมรรคผลเพื่อนิพพาน มีอยู่จริงถ้าเราเอาจริงเอาจัง มีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งสูงสุด ก็จะสามารถถึงที่สุดแห่งกองทุกข์คือพระนิพพาน ได้ทุกท่าน ขออนุโมทนา ครับ

ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham

ตำนานพระเจ้า 5 พระองค์


เรื่อง ตำนานพระเจ้า 5 พระองค์ และ ตํานานแม่กาเผือก 

ความเชื่อในเรื่องตำนานการถือกำเนิดของพระเจ้า 5 องค์ เป็นตำนานทางพระพุทธศาสนาที่มีเล่าสืบทอดต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานจวบจน ปัจจุบัน เนื้อความพอที่จะสรุปได้ดังนี้ นานมาแล้วยังมีกาเผือก(กาขาว)ผัว-เมียทำรังอยู่บนไม้ใหญ่ริมธารน้ำในป่า หิมพานต์ อยู่มาวันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหาอาหารไกลจากรังตนจนหาทางกลับมารังไม่ถูก ทำให้นางกาต้องออกตามหา
แต่เนื่องด้วยนางกาเป็นห่วงไข่ในรังทั้ง 5 ใบจึงจำต้องย้อนมากกไข่ก่อน วันหนึ่งเกิดพายุขนาดใหญ่ซัดกระหน่ำ ใส่รังจนไข่ทั้ง 5 ใบถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดพัดหายไปไกลสุดลูกหูลูกตา นางกาเองก็ถูกพายุลูกนั้นซัดจนไกลห่างออกไปจากรังมาก ครั้งพายุสงบลงนางกากลับมาที่รังก็ไม่พบไข่ทั้ง 5 ใบ นางจึงกลั้นใจตาย ณ ที่แห่งนั้น ส่วนกาฝ่ายสามีที่กระเสือกกระสนหาทางกลับมายังรังจนเจอด้วยความยากลำบากกลับ พบเพียงความว่างเปล่าภายในรังก็เศร้าโศกเสียใจเป็นยิ่งก็กลั้นใจตายตาม ไป(โดยภายหลังกาเผือกทั้ง 2 ได้ไปเกิดใหม่ในพรหมโลกได้นามว่า พกาพรหม) ส่วนไข่ทั้ง 5 ใบนั้นปรากฏว่าได้ลอยไปติดยังตลิ่ง ณ ที่ต่างๆโดยมีแม่สัตว์ทั้ง 5 ชนิดนำไข่ไปเลี้ยงดูฟูมฟักจนครั้งไข่แตกฟักออกมาเป็นตัวกลับกลายเป็นมนุษย์ รูปงาม เป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ตามลำดับดังนี้
1.พระกุกกุสันโธ แม่ไก่เก็บไปเลี้ยง
2.พระโกนาคมโน แม่นาคเก็บไปเลี้ยง
3.พระมหากัสสโป แม่เต่าเก็บไปเลี้ยง
4.พระโคตโม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) แม่โคเก็บไปเลี้ยง
5.พระศรีอาริยเมตเตยโย(พระศรีอารย์) แม่ราชสีห์เก็บไปเลี้ยง
จากตำนานเรื่องการถือกำเนิดของพระเจ้า 5 องค์ดังที่กล่าวมาข้างต้น พอที่จะสรุปเนื้อความได้ว่า ตำนานเรื่องนี้พยายามสอนหรือบ่งชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆว่าทุกชีวิต ล้วนมีความหมายและมีคุณค่าในตัวของมันเอง อย่าพยายามมองรูปลักษณะของสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยดวงตาเพียงอย่างเดียวแต่ ให้ใช้ดวงใจในการมองเห็นควบคู่กันไปด้วย ซึ่งแม้นว่าจะเป็นสัตว์สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าต่างพันธุ์ หากแต่มีจิตใจสูงส่งก็ย่อมส่งผลสามารถฟูมฟักเลี้ยงดูสิ่งดีงามให้ปรากฏออกมา ได้ ดังที่แม่สัตว์ทั้ง 5 เก็บไข่ได้แล้วนำไปฟูมฟักเลี้ยงดูจนปรากฏเป็นมนุษย์รูปงามและกลายมาเป็นพระ พุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ตามลำดับ
คติธรรมในเรื่องนี้ มีนัย หมายถึงธรรมชาติแท้ๆ ของสรรพสิ่ง คือ ไข่ 5 ฟอง หมายถึง ขันธ์ 5 ประกอบด้วย (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) ซึ่งไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ การที่ไข่ไหลไปตามน้ำ คือการที่ ขันธ์ 5 เปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย และการที่ไข่ฟักเป็นตัวคือ ตัวแท้ของ ขันธ์ 5 เป็นธาตุ 4 และนามธรรม ถูกอวิชาครอบงำ จึงมีซื่อเรียกสมมุติไป ต่างๆ นาๆ การถูก เลี้ยงดูฟูมฟักจนครั้งไข่แตกฟักออกมาเป็นตัวกลับ คือการพร้อมใจกันปฎิบัติธรรมสูงสุด คือวิปัสสนา จนรู้แจ้งเห็นจริงโดยไม่ติดในสมมุติ และได้เป็นกลายเป็นมนุษย์รูปงาม เป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 นั้นเอง

ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham

เปรตมีกี่ประเภท กรรมที่ทำให้เป็นเปรตเพราะเหตุใด ?


เปรตมีกี่ประเภท กรรมที่ทำให้เป็นเปรตเพราะเหตุใด ?
ชนิดของเปรต
ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามีบันทึกไว้ว่า เปรตแบ่งเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ก็มี บางแห่งแบ่งเป็น 12 ตระกูลบ้าง หรือแยกย่อยออกเป็น 21 ชนิดบ้าง แล้วแต่จุดประสงค์ในการจำแนก ในลำดับต่อไปนักศึกษาจะได้ทราบรายละเอียดของเปรตชนิดต่างๆ
เปรต 4 จำพวก ในเปตวัตถุ อรรถกถา แสดงเปรต 4 จำพวก คือ
1. ปรทัตตูปชีวิกเปรต เป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้ โดยการเซ่นไหว้ เป็นต้น
2. ขุปปีปาสิกเปรต เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าวหิวน้ำอยู่เป็นนิตย์
3. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
4. กาลกัญชิกเปรต เป็นเปรตในจำพวกอสุรกาย หรือเป็นชื่อของอสุรกายที่เป็นเปรต
ในอปทาน อรรถกถา สุตตนิบาตอรรถกถา และพุทธวังสะอรรถกถา แสดงว่าบรรดาพระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย นับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นต้นไป จะไม่เกิดเป็น ขุปปีปาสิกเปรต นิชฌามตัณหิกเปรต หรือกาลกัญจิกเปรต ถ้าจะต้องไปเกิดเป็นเปรต ก็จะเกิดเป็น ปรทัตตูปชีวิกเปรต ประเภทเดียว
เปรต 12 ตระกูล ได้แก่
1. วันตาสเปรต เปรตที่กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
2. กุณปาสเปรต เปรตที่กินซากศพคน หรือสัตว์ เป็นอาหาร
3. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
4. อัคคิชาลมุขเปรต เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
5. สุจิมุขเปรต เปรตที่ปากเท่ารูเข็ม
6. ตัณหัฏฏิตเปรต เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าวหิวน้ำเสมอ
7. นิชฌามกเปรต เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่เผา
8. สัพพังคเปรต เปรตที่มีเล็บมือ เล็บเท้ายาวคมเหมือนมีด
9. ปัพพตังคเปรต เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
10. อชครเปรต เปรตที่มีร่างกายคล้ายสัตว์เดียรัจฉาน
11. มหิทธิกเปรต เปรตที่มีฤทธิ์มาก
12. เวมานิกเปรต เปรตที่ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน
เปรต 21 จำพวก ในวินัย และลักขณสังยุตตพระบาลี แสดงเปรต 21 จำพวก คือ
1. อัฏฐีสังขสิกเปรต เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีเนื้อ
2. มังสเปสิกเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ไม่มีกระดูก
3. มังสปิณฑเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
4. นิจฉวิเปรต เปรตที่ไม่มีหนัง
5. อสิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
6. สัตติโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นหอก
7. อุสุโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
8. สูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
9. ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ 2
10. กุมภัณฑเปรต เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
11. คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
12. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระ
13. นิจฉวิตกิเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
14. ทุคคันธเปรต เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
15. โอคิลินีเปรต เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
16. อลิสเปรต เปรตที่ไม่มีศีรษะ
17. ภิกขุเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนพระ
18. ภิกขุนีเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนภิกษุณี
19. สิกขมานเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสิกขมานา
(สามเณรีที่ได้รับการอบรมเป็นเวลา 2 ปี เพื่อบวชเป็นภิกษุณี)
20. สามเณรเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสามเณร
21. สามเณรีเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนสามเณรี








 รายละเอียดเปรต 12 ตระกูล
ท่านผู้ศึกษาทราบแล้วว่า เปรตสามารถแบ่งเป็นหลายประเภท แต่ในที่นี้จะนำเสนอรายละเอียดเฉพาะเปรต 12 ตระกูล
ตระกูลที่ 1 วันตาสาเปรต
เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างน่าเกลียด น่ากลัว และอดอยากหิวโหย เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นมนุษย์ถ่มเสลด น้ำลายออกมา ต่างตื่นเต้นดีใจรีบตรงไปดูดเอาโอชะเสลดเป็นอาหาร กินแล้วยังหิวโหยเช่นเดิม จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะไปเกิดในภูมิอื่น
กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติก่อนเป็นคนตระหนี่จับขั้วหัวใจ เห็นผู้ใดอดอยากมาขออาหาร ก็พาลโกรธถ่มน้ำลายใส่ด้วยความรังเกียจ หรือเข้าไปในสถานที่ที่ควรเคารพบูชา เช่น โบสถ์ วิหาร ลานพระเจดีย์ แล้วไม่มีความเคารพต่อสถานที่ ได้ถ่มเสลดน้ำลายลงในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตในตระกูลนี้
ตระกูลที่ 2 กุณปขาทาเปรต
เปรตตระกูลนี้มีรูปร่างน่าเกลียดมาก จะซอกซอนหาซากอสุภะกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย ครั้นเห็นซากอสุภะของสัตว์ที่ล้มตาย กลายเป็นศพอืดเน่าเหม็น เปรตเหล่านี้จะดีอกดีใจวิ่งเข้าไปดูดโอชะที่เน่าเหม็นจากซากอสุภะนั้น
กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชาติที่เป็นมนุษย์มีความตระหนี่ เมื่อมีผู้มาขอบริจาคทาน ก็แกล้งให้ของที่ไม่ควรให้ ด้วยความปรารถนาจะแกล้งประชด ไม่เคารพในทาน จึงมาเกิดเป็นเปรตประเภทนี้
ตระกูลที่ 3 คูถขาทาเปรต
เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างน่าสะอิดสะเอียน น่าเกลียด เปรตชนิดนี้จะเที่ยวแสวงหาคูถ คือ อุจจาระ ที่คนถ่ายเอาไว้ ยิ่งมีกลิ่นเหม็นมากเท่าไรก็ยิ่งชอบ เมื่อเปรตเหล่านี้เห็นอุจจาระจะดีใจจนเนื้อเต้น รีบวิ่งรี่เข้าไปที่กองอุจจาระเหมือนสุนัขอย่างนั้น ครั้นไปถึงก็ก้มหน้าดูดเอาโอชะของคูถนั้นเป็นอาหาร แต่ก็ไม่เคยอิ่มเลย
กรรมที่ทำให้มาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งที่เป็นมนุษย์ มีความตระหนี่จัด เมื่อหมู่ญาติที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้คนมาหาเพื่อขอความช่วยเหลือ ขอข้าว ขอน้ำดื่ม จะเกิดอาการขุ่นเคืองขึ้นมาทันที ชี้ไปที่มูลสัตว์พร้อมกับบอกว่า "ถ้าอยากได้ ก็จงเอาไปกินเถิด แต่จะมาเอาข้าวปลาอาหาร ข้าไม่ให้หรอก" แล้วก็ขับไล่ไสส่ง ด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ตายแล้วจึงไปเกิดเป็นเปรตชนิดนี้
ตระกูลที่ 4 อัคคิชาลมุขาเปรต
เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างผอมโซ มีเปลวไฟแลบออกมาจากปากตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน ไฟไหม้ปากไหม้ลิ้นเจ็บแสบเจ็บร้อน ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องไห้ครวญครางไปไกลถึงร้อยโยชน์ พันโยชน์ ถึงกระนั้นไฟก็ไม่ดับ กลับเป็นเปลวเผาลนปากและลิ้นหนักเข้าไปอีก
กรรมที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ มีความตระหนี่เหนียวแน่น เมื่อมีใคร มาขอ ครั้นจะไม่ให้ก็กลัวคนอื่นดูแคลน จึงแกล้งให้สิ่งของร้อนๆ เพื่อหวังจะแกล้งให้ผู้รับเข็ดหลาบ จะได้เลิกมาขอ เพราะไม่เห็นอานิสงส์ของการทำทาน
ตระกูลที่ 5 สุจิมุขาเปรต
เปรตตระกูลนี้ รูปร่างแปลกพิกล คือ เท้าทั้งสองใหญ่โต คอยาวมาก แต่ปากเท่ารูเข็ม จะได้อาหารมาบริโภคแต่ละครั้งก็ไม่พออิ่ม เพราะมีปากเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้ง่ายๆ อยากกินแต่กินไม่ได้ ต้องทุกข์ทรมานแสนลำบาก ร่างกายผอมโซดำเกรียม
กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนตระหนี่ในชาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อมีใครมาขออาหาร ก็ไม่อยากให้ และไม่มีศรัทธาที่จะถวายทานแก่สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีจิตหวงแหนทรัพย์สมบัติ ผลกรรมตามสนอง ต้องมาเกิดเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม
ตระกูลที่ 6 ตัณหาชิตาเปรต
เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างผอมและอดอยากเช่นเดียวกับเปรตพวกอื่น คือ มีความอยากข้าว น้ำเป็นกำลัง ที่แปลกออกไป คือ เปรตเหล่านี้จะเดินตระเวนท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ เพื่อหาอาหาร เมื่อมองไปเห็นสระ บ่อ ห้วย หนอง ก็ตื่นเต้นดีใจ รีบวิ่งไปโดยเร็ว แต่ครั้นไปถึงแหล่งน้ำนั้น กลับกลายเป็นสิ่งอื่นด้วย อำนาจกรรมบันดาล
กรรมที่ทำให้เป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนหวงข้าวหวงน้ำ เที่ยวปิดสระ ปิดบ่อ ปิดหม้อ ไม่ให้คนอื่นได้ดื่มกิน ครั้นละโลกแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตอดอยากข้าวน้ำดังกล่าว


ตระกูลที่ 7 นิชฌามักกาเปรต
เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างเหมือนต้นเสาหรือต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ สูงชะลูดดำทะมึน แลดูน่ากลัวมาก มีกลิ่นเหม็นเน่า มือและเท้าเป็นง่อย ริมฝีปากด้านบนห้อยทับริมฝีปากด้านล่าง มีฟันยาว มีเขี้ยวออกจากปาก ผมยาวพะรุงพะรัง มีความอดอยากเหลือประมาณ ยืนทื่ออยู่ที่เดิมไม่ท่องเที่ยวไปไหนเหมือนเปรตชนิดอื่น
กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเป็นคนใจหยาบ เห็นสมณพราหมณ์ผู้มีศีลก็โกรธเคือง มีอกุศลจิตคิดว่า ท่านเหล่านั้นจะมาขอของตน จึงแสดงกิริยาอาการเยาะเย้ยถากถาง ขับไล่สมณพราหมณ์ เหล่านั้นให้ได้รับความอับอาย หรือเห็นพ่อแม่เป็นคนแก่คนเฒ่า เกิดโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเพราะความชรา แกล้งให้ท่านตกใจจะได้ตายไวๆ ตัวเองจะได้ครอบครองสมบัติ
ตระกูลที่ 8 สัพพังคาเปรต
เปรตตระกูลนี้ มีร่างกายใหญ่โต มีเล็บมือเล็บเท้ายาวคมเหมือนมีดเหมือนดาบและงอเหมือนตะขอ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาตะกายข่วนร่างกายตนเองให้ขาดเป็นแผลด้วยเล็บ แล้วกินเลือดเนื้อของตนเองเป็นอาหาร
กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะชอบขูดรีดชาวบ้าน เอาเปรียบผู้อื่น หรือบางครั้งชอบรังแกหยิกข่วนบิดามารดา ถ้าเป็นหญิงก็หยิกข่วนสามีของตน
ตระกูลที่ 9 ปัพพตังคาเปรต
เปรตตระกูลนี้ มีร่างกายใหญ่เหมือนภูเขา เวลากลางคืนสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ กลางวันเป็นควันล้อมรอบกาย เปรตเหล่านี้ต้องถูกไฟเผาคลอก นอนกลิ้งไปมาเหมือนขอนไม้ที่กลิ้งอยู่กลางไร่กลางป่า ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ร้องไห้ปานจะขาดใจ
กรรมที่เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ได้เอาไฟเผาบ้าน เผาโรงเรียน เผากุฏิ วิหาร เป็นต้น
ตระกูลที่ 10 อชครเปรต
เปรตตระกูลนี้ มีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉาน เช่น มีรูปร่างเป็นงูเหลือม เป็นเสือ เป็นม้า เป็นวัว เป็นควาย เป็นต้น แต่จะถูกไฟเผาไหม้ทั่วร่างกายทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่างเว้น แม้แต่วันเดียว
กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์เป็นคนตระหนี่ เมื่อเห็นสมณพราหมณ์ ผู้มีศีลมาเยือน ก็ด่าเปรียบเปรยท่านว่า เสมอด้วยสัตว์เดียรัจฉานต่างๆ เพราะไม่อยากให้ทาน หรือแกล้งล้อเลียนเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
ตระกูลที่ 11 มหิทธิกาเปรต
เปรตตระกูลนี้ เป็นเปรตที่มีฤทธิ์และรูปงามดุจเทวดา แต่ว่าอดอยากหิวโหยอาหารอยู่ตลอดเวลา เหมือนเปรตชนิดอื่นๆ จะเที่ยวไปในสถานที่ต่างๆ เมื่อพบคูถมูตร และของสกปรกก็จะดูดกินเป็นอาหาร
กรรมที่ทำให้เกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์ บวชเป็นพระภิกษุสามเณร พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์ จึงมีรูปงามผุดผ่องราวเทวดา แต่ไม่ได้บำเพ็ญธรรม มีใจเกียจคร้านต่อการบำเพ็ญสมณธรรมตามวิสัยของบรรพชิต จิตใจจึงมากไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ มีความเข้าใจผิดว่า "เราบวชแล้ว รักษาแต่ศีลอย่างเดียวก็พอ ไม่เห็นต้องทำบุญให้ทานเหมือนฆราวาสเลย" ครั้นเมื่อละโลกจึงมาเกิดเป็นเปรตตระกูลนี้ เปรตตระกูลสุดท้าย
ตระกูล ที่ 12 เวมานิก เปรตตระกูลนี้จะมีสมบัติ คือ วิมานทองอันเป็นทิพย์ บางตนจะเสวยสุขราวเทวดาในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนจะเสวยทุกข์ที่เกิดจากความตระหนี่ในทรัพย์ บางตนเสวยสุขเฉพาะในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะเสวยทุกข์ ตามสมควรแก่กรรม
กรรมที่ทำให้เกิดมาเป็นเปรตตระกูลนี้ เพราะครั้งเป็นมนุษย์มีศรัทธาทำบุญกุศลไว้มาก แต่ไม่รักษาศีล ไม่รักษากาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ครั้นตายลงจึงตรงมาเกิดเป็นเวมานิกเปรต หรือเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาได้รักษาศีลเพียงอย่างเดียว แล้วไม่มีศรัทธาในการสร้างบุญกุศลอื่น และมีความสงสัยในเรื่องบุญเรื่องบาป แม้รักษาศีลก็รักษาแบบเสียไม่ได้ หรือไม่ตั้งใจรักษา
เรา จะเห็นได้ว่า การเสวยวิบากกรรมในภูมิเปรตนั้น เป็นทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงไร ทุกข์ในเมืองมนุษย์เทียบเท่าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นอย่ากระทำการใดๆ ที่เสี่ยงต่อการถูกทรมานในภูมิเปรตนี้เลย
อบายภูมิ มี 4ภูมิ จัดอยู่ในกามภพ จัดแบ่งตามลักษณะของการกระทำฝ่ายอกุศล
1. นิรยภูมิ ตั้งอยู่ใต้เขาตรีกูฏมี 8ขุมใหญ่ (มหานรก)ในแต่ละขุมใหญ่จะมีขุมบริวาร (อุสสทนรก) อยู่โดยรอบทั้ง4 ทิศ
ทิศละ 4ขุม รวมมี นรกขุมบริวาร 128ขุม ถัดจากอุสสทนรกออกไปจะเป็นนรกขุมย่อย (ยมโลก) อยู่โดยรอบทิศทั้ง 4
ของมหานรก ทิศละ 10 ขุม รวมมีนรกขุมย่อย 320 ขุม
2. ติรัจฉานภูมิ อยู่ภพเดียวกับมนุษย์
3. เปตติวิสยภูมิ อยู่ในซอกเขาตรีกูฏก็มี อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ก็มี
4. อสุรกายภูมิ อยู่ในซอกเขาตรีกูฏก็มี อยู่ซ้อนกับภูมิมนุษย์ก็มี
1. นิรยภูมิ หรือ นรก จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 1 เป็นดินแดนที่ปราศจากความสุขสบาย สัตว์ที่ตกลงไปสู่นรก เพราะบาปกรรมชั่วที่ตนกระทำไว้เป็นอาจิณกรรม เมื่อตกลงไปแล้วจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสไม่มีเวลาว่างเว้น จากการลงทัณฑ์ทรมาน นรกมีที่ตั้งอยู่ใต้เขาตรีกูฏ มีทั้งหมด 8 ขุมใหญ่ ที่เรียกว่า มหานรก และยังมีขุมบริวาร เรียกว่า อุสสทนรกอีก 128 ขุม มีนรกขุมย่อย ที่เรียกว่ายมโลกอีก 320 ขุม สัตว์ที่ใช้กรรมในมหานรกหมดแล้ว จะต้องมารับกรรมในอุสสทนรก และยมโลกต่อไป จนกว่าจะหมดกรรมที่ตนได้กระทำไว้
2. เปตติวิสยภูมิ หรือ ภูมิเปรต จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 2 เป็นดินแดนที่มีแต่ความเดือดร้อน อดอยาก หิวกระหาย เปรตแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ที่นิยมแบ่งกันมาก คือ เปรต 12 ตระกูล ที่อยู่ของเปรตนั้นมีอยู่ที่ซอกเขาตรีกูฏ และมีปะปนอยู่กับมนุษยโลกด้วย แต่เป็นภพที่ละเอียดกว่า เหตุที่ทำให้มาเป็นเปรตเพราะทำอกุศลกรรมประเภทตระหนี่ หวงแหนทรัพย์เป็นหลัก การเกิดเป็นเปรตนั้นมี 2 ลักษณะ คือ ผ่านมาจากมหานรก อุสสทนรก และยมโลก กับจากมนุษย์ผู้กระทำอกุศลกรรม ละโลกแล้วไปเกิดเป็นเปรต
3. อสุรกายภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 3 เป็นดินแดนที่ปราศจากความร่าเริง อสุรกายมีลักษณะคล้ายกับเปรตมาก แยกแยะได้ลำบาก และอยู่ในภพภูมิเดียวกันกับเปรต คือ ซอกเขาตรีกูฏ มีรูปร่างที่ประหลาด เช่น หัวเป็นหมูตัวเป็นคน มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบากเช่นเดียวกับเปรต คือ อยู่ด้วยความหิวกระหาย แต่หนักไปทางกระหายน้ำมากกว่าอาหาร ที่ต้องเกิดมาเป็นอสุรกายเพราะความโลภอยากได้ของผู้อื่นในทางมิชอบ
4. ติรัจฉานภูมิ จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่ 4 เป็นอบายภูมิอันดับสุดท้าย ที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่าสัตว์ที่เกิดในนรก เปรต และอสุรกาย ที่ชื่อเดียรัจฉาน เพราะมีลำตัวไปทางขวาง อกขนานกับพื้น และจิตใจก็ขวางจากหนทางพระนิพพานด้วย ที่อยู่ของสัตว์เดียรัจฉานนี้ อยู่ปะปนกับมนุษย์ทั่วไปที่เราเห็น สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ตามจำนวนเท้าของสัตว์ ตั้งแต่ สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์มี 2 เท้า สัตว์มี 4 เท้า และสัตว์มีเท้ามากกว่า 4 ขึ้นไป
ชีวิตในสังสารวัฏ เป็นชีวิตที่เสี่ยงภัยมาก เพราะเมื่อเราเกิดมาแล้ว หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างความดี เราอาจจะพลาดพลั้งไปทำบาปอกุศล เพราะขาดกัลยาณมิตรคอยชี้แนะ หนทางแห่งการสร้างความดี เมื่อละโลกไป แรงกรรมที่เรากระทำไว้ย่อมจะส่งผลให้เรามีโอกาสไปเกิดในอบายได้มาก


อบายภูมิ เป็นสถานที่สิงสถิตของชีวิตหลังความตายของปรโลกฝ่ายทุคติ เป็นดินแดนที่ปราศจาก ความสุข และเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ทั้งจากความร้อนของไฟนรก และจากการทรมานของ นายนิรยบาล ที่มีวิธีการลงโทษหลากหลายไม่ซ้ำรูปแบบ ทำให้สัตว์นรกได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานสุดจะบรรยาย ชาวโลกทั้งหลายเมื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ประกอบกุศลกรรม ทำแต่อกุศลกรรมเป็นประจำ ครั้นเมื่อใกล้จะละโลก ภาพไม่ดีที่ตนได้กระทำไว้มาปรากฏให้เห็น ทำให้จิตของเขาเศร้าหมอง เมื่อละจากอัตภาพมนุษย์ ย่อมไปเกิดในอบาย ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พาลบัณฑิตสูตร ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั่นแล ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว เมื่อแตกกาย ทำลายขันธ์ ตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก"
จากพุทธภาษิตนี้ แสดงให้เห็นถึงการกระทำความชั่วของมนุษย์ ทั้งทางกาย วาจา ใจ มีผลต่อการไปสู่อบาย นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์ที่น่าสนใจอยู่ 4 คำ กล่าวคือ อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งจะขอนำคำศัพท์เหล่านี้มาขยายความให้นักศึกษาได้เข้าใจมากขึ้นดังนี้
คำว่า อบายภูมิ หมายถึง สถานที่ที่สัตว์เกิดแล้วไม่มีโอกาสกระทำกุศลกรรม เพราะเป็นแดนที่ปราศจากความเจริญ เป็นแดนบาปที่ความสุขไม่สามารถเจริญงอกงามได้แม้เพียงนิดเดียว มีแต่ความทุกข์ล้วนๆ ทำให้ไม่สามารถสร้างกุศลได้
คำว่า ทุคติ คือ สถานที่ที่ต้องเสวยทุกข์อย่างเดียว และเป็นสถานที่ที่เกิดขึ้นมาเพราะกรรมชั่วร้ายของตนเองที่ทำไว้ครั้งเป็น มนุษย์ ที่มีโทษมาก
คำว่า วินิบาต เป็นภูมิของพวกสัตว์ผู้ทำชั่ว เมื่อตกไปที่ภูมินี้ จะเป็นผู้ไร้อำนาจวาสนา หรือหมายถึงเป็นสถานที่ที่พวกสัตว์ผู้กำลังพินาศ มีอวัยวะน้อยใหญ่แตกกระจัดกระจายน่ากลัวมาก
ส่วนคำว่า นิรยะ หรือ นรก เป็นสถานที่ที่ไม่มีความเจริญ เป็นดินแดนที่ไร้ความยินดี มีแต่ความน่าหวาดเสียว น่าสะพรึงกลัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อตกลงไปในนรกแล้ว ไม่มีสัตว์นรกตัวไหนอยากอยู่ในมหานรกนั้น
จากความหมายของศัพท์ที่กล่าวมาพอจะสรุปได้ว่า ศัพท์ทั้งหมดนั้นมีความหมายในลักษณะที่คล้ายคลึงกันคือ มุ่งไปในทางที่เสื่อม เป็นความทุกข์ทรมาน ไม่มีความเจริญ แต่ต่างกันในรายละเอียด ตามสภาพการเสวยสุข ทุกข์ เช่น สัตว์เดียรัจฉาน จัดอยู่ในอบายภูมิ 4 แต่มีสัตว์เดียรัจฉานบางประเภท เช่น ครุฑ นาค ไม่จัดเป็นทุคติภูมิ ไม่จัดเป็นวินิบาต เพราะไม่มีการถูกทำลายเหมือนเช่นสัตว์นรก และบางกลุ่มยังเสวยผลบุญอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา แต่ก็จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์เดียรัจฉานเพราะไม่มีความเจริญ ไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้
สรุปว่า อบายภูมินี้ เป็นสถานที่ชดใช้กรรมของมนุษย์ ที่ได้กระทำความชั่วไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่มีใครเลยที่จะหลีกเลี่ยงจากกฎแห่งกรรมนี้ไปได้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะมีเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม
1. นิรยภูมิ หรือ นรก
นิรยภูมิ หรือ โลกนรก หมายถึง โลกที่ไม่มีความสุขสบาย เป็นปรโลกฝ่ายทุคติภูมิ ที่มีโทษแห่งการกระทำอกุศลหนักที่สุดในบรรดาอบายภูมิทั้งหลาย เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วนๆ ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิง สัตว์ที่ไปเกิดอยู่ในโลกนรกนี้ไม่มีความสุขแม้สักนิดเดียว โลกนรกนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ไพศาลมาก แบ่งเป็นเขตๆ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เรียกว่า "ขุม" สัตว์นรกที่บังเกิดขึ้นในแต่ละขุม จะได้รับทุกขเวทนาแตกต่างกัน แล้วแต่อกุศลกรรมที่ตัวเคยกระทำไว้ ในนิรยภูมินี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ มหานรก อุสสทนรก และยมโลก
นิรยภูมิ หรือ โลกนรกนี้ ท่านจะต้องศึกษาเป็นลำดับแรก ให้เข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้ เพื่อให้เห็นลักษณะการกระทำที่จะนำไปเกิดในนรกแต่ละขุม จะได้ระมัดระวังการกระทำของเราในปัจจุบัน ที่เสี่ยงต่อการพลัดตกลงไปอยู่ในนรกนั้น
1.1 มหานรก
เรื่องของมหานรกนั้น ชาวโลกส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่ไม่ชัดเจน แม้ชาวพุทธเองก็ยังเข้าใจสับสนอยู่ เพราะเคยเห็นภาพตามฝาผนังอุโบสถตามวัดต่างๆ ในลักษณะของการปีนต้นงิ้วบ้าง การทรมานในกระทะทองแดงบ้าง หรือถูกเจ้าหน้าที่ในยมโลกลงทัณฑ์ในลักษณะต่างๆ บ้าง ซึ่งภาพที่เห็นส่วนใหญ่นั้น เป็นภาพของการลงโทษในยมโลกซึ่งเป็นนรกขุมย่อย จะเรียกว่า นรก อย่างที่เข้าใจกันในตอนต้นก็คงไม่ผิดนัก แต่ก็ไม่ถูกทั้งหมด และเป็นความเข้าใจที่ยังไม่สมบูรณ์
การกระทำของมนุษย์ที่จะทำให้เกิดในมหานรกนั้น เป็นลักษณะอกุศลกรรม ทั้งทางกาย วาจา และใจ ที่ทำอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ จนกระทั่งใกล้จะละโลก ภาพการกระทำชั่วเหล่านั้นมาปรากฏให้เห็น ทำให้คตินิมิตดำมืด แล้วถูกดูดเปลี่ยนภพไปยังมหานรกตามขุมต่างๆ ที่ตนกระทำอกุศลเป็นประจำ
ก. ความหมายของมหานรก
มหานรก แปลโดยพยัญชนะ หมายถึง นรกขุมใหญ่ เป็นนิรยภูมิที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีโทษหนักที่สุดตามลำดับขุม
ข. ที่ตั้งของมหานรก
ที่ตั้งของนรกไม่ได้อยู่ใต้ดินอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มหานรกนี้ ตั้งอยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ที่มีเขาตรีกูฏรองรับอยู่ มหานรกจะตั้งอยู่ใต้เขาตรีกูฏอีกชั้นหนึ่ง ตั้งซ้อนเรียงกันเป็นชั้นๆ ลงไปในอากาศ จากขุมที่ 1 ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุด ไปถึงขุมที่ 8 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด มหานรกนี้มีทั้งหมด 8 ขุม ดังนี้
มหานรก ขุมที่ 1 ชื่อ สัญชีวมหานรก
มหานรก ขุมที่ 2 ชื่อ กาฬสุตตมหานรก
มหานรก ขุมที่ 3 ชื่อ สังฆาฏมหานรก
มหานรก ขุมที่ 4 ชื่อ โรรุวมหานรก
มหานรก ขุมที่ 5 ชื่อ มหาโรรุวมหานรก
มหานรก ขุมที่ 6 ชื่อ ตาปนมหานรก
มหานรก ขุมที่ 7 ชื่อ มหาตาปนมหานรก
มหานรก ขุมที่ 8 ชื่อ อเวจีมหานรก
มหานรกทั้ง 8 ขุมนี้จะแจกแจ้งรายละเอียดให้ได้ศึกษากันในโอกาสต่อไป
ค. สภาพแวดล้อมในมหานรก
บรรยากาศโดยทั่วไปในมหานรก จะมีลักษณะร้อนๆ ทึมๆ มืดๆ ไฟในมหานรกจะมีสีดำมืด และมีความร้อนแรงมากกว่าไฟในอุสสทนรกและยมโลก ยิ่งไฟในเมืองมนุษย์ไม่อาจเทียบกับไฟในมหานรกได้ ซึ่งมีความร้อนแรงกว่าหลายโกฏิเท่า การทัณฑ์ทรมานสัตว์นรก จะมีนายนิรยบาลหรือเจ้าหน้าที่ในมหานรก ที่เกิดด้วยอำนาจบาปกรรมของสัตว์นรกนั้น คอยลงทัณฑ์สัตว์นรกด้วยอาการต่างๆ อย่างไม่มีวันหยุดพักผ่อน
ง. โทษของการกระทำที่นำไปเกิดในมหานรกขุมต่างๆ
ในนรกแต่ละขุมจะมีลักษณะของการกระทำที่แตกต่างกัน หากถามว่าอะไรเป็นเกณฑ์ในการกำหนดว่า เมื่อทำกรรมแบบนี้แล้วจะไปอยู่ในนรกขุมไหน คำตอบ คือ การผิดศีล 5 การพนัน และการทำอนันตริยกรรม จะเป็นตัวกำหนดให้ไปบังเกิดในนรกแต่ละขุม ดังนี้
เกิดในนรกขุมที่ 1 เพราะผิดศีลข้อ 1 เกิดจากกรรมฆ่าสัตว์ เป็นประจำ
เกิดในนรกขุมที่ 2 เพราะผิดศีลข้อ 2 เกิดจากกรรมลักขโมย เป็นประจำ
เกิดในนรกขุมที่ 3 เพราะผิดศีลข้อ 3 เกิดจากกรรมประพฤติผิดในบุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น
เกิดในนรกขุมที่ 4 เพราะผิดศีลข้อ 4 เกิดจากกรรมพูดโกหก พูดคำหยาบ พูดส่อเสียดให้แตกกัน พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ
เกิดในนรกขุมที่ 5 เพราะผิดศีลข้อ 5 เกิดจากการดื่มสุราเมรัย เสพสิ่งเสพติด เป็นประจำ
เกิดในนรกขุมที่ 6 เพราะมัวเมาในอบายมุข เล่นการพนัน เป็นประจำ
เกิดในนรกขุมที่ 7 เพราะผิดศีลทั้ง 5 ข้อ และเล่นการพนัน เป็นประจำ
เกิดในนรกขุมที่ 8 เพราะทำอนันตริยกรรม คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตกกัน และทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
ในความเป็นจริงแล้ว ในภพชาติหนึ่งๆ คนเราได้ทำกรรมมากมายหลายอย่าง ต่างกรรม ต่างวาระ ดังนั้นการพิจารณาว่าใครจะไปบังเกิดในมหานรกขุมใดนั้น จะดูที่การกระทำชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นหลัก หรือ เป็นอาจิณ เช่น คนที่จะเกิดในมหานรกขุม 5 ตอนเป็นมนุษย์จะต้องทำกรรมดื่มสุรา ยาเสพติด เป็นประจำ ในขณะเดียวกัน เขายังทำผิดศีลข้ออื่นด้วย สมมติว่า โดนทรมานด้วยโทษของกรรมสุรา 1 พุทธันดร เมื่อ กรรมสุราเบาบาง จะถูกทรมานด้วยกรรมอื่นๆ ต่ออีก เช่น ดื่มสุรา แล้วฆ่าสัตว์ ก็จะถูกกรอกน้ำกรด เพราะกรรมสุรา เมื่อกรรมสุราเบาบางแล้วจึงไปโดนนายนิรยบาลสับเป็นชิ้นจนตาย เพราะกรรมฆ่าสัตว์ เป็นต้น สถานที่ทรมานในช่วงที่กรรมอย่างอื่นเข้ามาผสม ก็จะอยู่ภายในขุมเดียวกัน ออกไปจากศูนย์กลางของภพ หรือไม่ก็ไปเกิดในนรกขุมอื่นเลย ซึ่งไม่แน่นอน แล้วแต่กรรมของสัตว์นรกที่ทำว่า หนัก เบา ต่างกรรม ต่างวาระกัน ซึ่งจะถูกสะสมเก็บไว้ในใจ เป็นผังสำเร็จ ถูกตั้งโปรแกรมให้เป็นไปตามอำนาจกรรมของตน
จ. ความทุกข์ในมหานรก
ความทุกข์เป็นของสากลที่ทุกคนต้องประสบ เพราะเรายังไม่หมดกิเลส แต่ถ้าหากเป็นความทุกข์ในมหานรกแล้ว เชื่อมั่นได้เลยว่า ไม่มีใครอยากสัมผัส เพราะที่ตรงนั้นจะไม่มีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมานเลย เมื่อไปเกิดเป็นสัตวนรก วินาทีแรกที่ไปเกิดในมหานรก เหล่านายนิรยบาลที่เกิดด้วยอำนาจกรรม จะปรากฏกาย แล้วทำการลงโทษสัตว์นรกทันที โดยไม่มีการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เป็นสิ่งที่น่าขนพองสยองเกล้าเป็นที่สุด ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าให้กับเหล่าภิกษุฟังใน พาลบัณฑิตสูตร ว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้น ประพฤติทุจริต ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เมื่อเขาตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก สถานที่เหล่านี้ เป็นดินแดนที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ น่าพอใจอะไรเลย เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว แม้จะเปรียบเทียบอุปมาถึงความทุกข์ในนรก ก็มิใช่สิ่งที่จะทำได้โดยง่าย"
พระภิกษุรูปหนึ่งจึงทูลถามพระสัมมา สัมพุทธเจ้าว่า "พระองค์พอจะอุปมาความทุกข์ในนรก ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทราบบ้างได้ไหม พระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ทรงรับ คำ แล้วอธิบายให้ฟังว่า "เปรียบเสมือนพวกราชบุรุษจับโจรมาได้ โจรนี้คิดร้ายต่อราชบัลลังก์ พอจับได้แล้ว ตอนเช้าก็นำมาให้พระราชาพร้อมกับกราบทูลถึงพฤติกรรมของโจรนั้นว่า โจรผู้นี้ คิดร้าย ก่อกบฏ ขอพระองค์ได้ทรงลงโทษตามพระราชหฤทัยเถิด พระราชาทรงรับสั่งว่า ให้เอาหอก 100 เล่ม แทงโจรนี้ให้ทั่วตัว พวกราชบุรุษก็ทำตามบัญชา พอถึงกลางวันพระราชาตรัสถามว่า โจรกบฏคนนั้นน่ะ ตายแล้วหรือยัง เมื่อได้รับคำตอบว่ายัง ก็รับสั่งให้เอาหอกมาแทงเพิ่มอีก 100 เล่ม พวกราชบุรุษก็ทำตาม พอตกเย็นยังไม่ตายอีก จึงให้เอาหอกไปแทงเพิ่มอีก 100 เล่ม รวมเป็น 300 เล่ม โจรก็ยังไม่ตายอยู่ดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โจรโดนหอกแทงมากถึง 300 เล่ม จะเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหน"
พวกภิกษุกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพียงแค่หอกเล่มเดียว ก็เป็นทุกข์มากแล้ว จะกล่าวไปไยกับหอกถึง 300 เล่ม"
พระ บรมศาสดาตรัสต่อว่า "ความทุกข์จากการถูกหอกแทง 300 เล่ม เมื่อเทียบกับทุกข์ในมหานรกแล้ว เทียบกันไม่ได้เลย ทุกข์ในนรกเจ็บปวดทรมานมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า ความทุกข์ของคนที่ถูกหอก 300 เล่มแทง มีปริมาณความเจ็บปวดเหมือนก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่ง แต่ทุกข์ในมหานรกมีปริมาณมากเหมือนเขาพระสุเมรุทีเดียว"
จากพระดำรัสนี้ เราจะเห็นได้ว่า การเสวยวิบากกรรมในนรกนั้น เป็นทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงไร ทุกข์ในเมืองมนุษย์เทียบเท่าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นอย่ากระทำการใดๆ ที่เสี่ยงต่อการถูกทรมานในมหานรกนี้เลย

ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham

เพราะสวยบาดใจจึงต้องให้บวช (พระอุบลวัณณาภิกษุณี)



เรื่อง เพราะสวยบาดใจจึงต้องให้บวช 
 
ประวัติ พระอุบลวัณณาภิกษุณี
ภิกษุณีเอตทัคคะในฝ่ายผู้มีฤทธิ์พระอุบลวรรณาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี บิดามารดาได้ตั้งชื่อให้นางว่า “อุบลวรรณา” ตามนิมิตลักษณะที่นางมีผิวพรรณเหมือนกลับดอกอุบลเขียว
เพราะสวยบาดใจจึงต้องให้บวช
เมื่อนางเจริญวัยเข้าสู่วัยสาว นอกจากจะมีผิวงามแล้วรูปร่างลักษณะยังงดงามสุดเท่าที่จะ หาหญิงอื่นทัดเทียม ได้ จึงเป็นที่หมายปองต้องการของพระราชาและมหาเศรษฐีทั่วทั้งชมพูทวีป ซึ่งต่างก็ส่งเครื่องบรรณาการอันมีค่าไปมอบให้พร้อมกับสู่ขอเพื่ออภิเษก สมรสด้วย ฝ่ายเศรษฐีผู้บิดาของนางรู้สึกลำบากใจด้วยคิดว่า “เราไม่สามารถที่จะรักษาน้ำใจของคน ทั้งหมดเหล่านี้ได้ เราควรจะหาอุบายทางออกสักอย่างหนึ่ง” แล้วจึงเรียกลูกสาวมาถามว่า:-
“แม่อุบลวรรณา เจ้าจะสามารถบวชได้ไหม ?”
นางได้ฟังคำของบิดาแล้วรูสึกร้อนทั่วสรรพางค์กายเหมือนกับมีคนนำเอาน้ำมัน ที่เคี่ยว ให้เดือด ๑๐๐ ครั้ง ราดลงบนศีรษะของนาง ด้วยว่านางได้สั่งสมบุญมาแต่อดีตชาติ และการเกิด ในชาตินี้ก็เป็นชาติสุดท้ายของนาง ดังนั้น นางจึงรับคำของบิดาด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เศรษฐีผู้บิดาจึงพานางไปยังสำนักของภิกษุสงฆ์แล้วให้บวชเป็นที่เรียบร้อย เมื่อนางอุบลวรรณาบวชได้ไม่นาน ก็ถึงสาระที่จะต้องไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เธอได้จุดประทีปเพื่อขจัดความมืดแล้วกวาดโรงอุโบสถ เห็นเปลวไฟที่ดวงประทีปแล้วยึดถือเอา เป็นนิมิตร ขณะที่กำลังยืนอยู่นั้นได้เข้าฌานมีเตโช กสิณเป็นอารมณ์ แล้วกระทำฌานนั้นให้เป็น ฐานเจริญวิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญาทั้งหลาย ณ ที่นั้น นั่นเอง
เมื่อพระเถรีสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เที่ยวจาริกไปยังชนบทต่าง ๆ แล้วกลับมาพัก ที่ป่าอันธวัน สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคยังมิได้ทรงบัญญัติห้ามภิกษุณีอยู่ในป่าเพียงลำพัง ประชา ชนได้ช่วยกันปลูกกระท่อมไว้ในป่าพร้อมทั้งเตียงตั่งกั้นม่านแล้วถวาย เป็นที่พักแก่ พระเถรีนั้น
"บวชแล้วยังถูกข่มขืน"
ฝ่ายนันทมาณพ ผู้เป็นลูกชายของลุงของพระเถรีนั้น มีจิตหลงรักนางตั้งแต่ยังไม่บวชเมื่อ ทราบข่าวว่าพระเถรีมาพักที่ป่าอันธวัน ใกล้เมืองสาวัตถี จึงได้ถือโอกาสขณะที่พระเถรีเข้าไป บิณฑบาตในเมืองสาวัตถีนั้น ได้เข้าไปในกระท่อมหลบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง เมื่อพระเถรีกลับมา แล้ว เข้าไปในกระท่อมปิดประตูแล้วนั่งลงบนเตียง ขณะที่สายตายังไม่ปรับเข้ากับความมืดใน กระท่อม นันทมาณพก็ออกมาจากใต้เตียงตรงเข้าปลุกปล้ำข่มขืนพระเถรี ถึงแม้พระเถรีจะร้อง ห้ามว่า:- “เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย เจ้าคนพาล เจ้าอย่าพินาศฉิบหายเลย” นันทมาณพ ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ได้ทำการข่มขืนพระเถรีสมปรารถนาแล้วก็หลีกหนีไป พอ เขาหลบหนีไปได้ไม่ไกล แผ่นดินใหญ่ก็มีอาการประหนึ่งว่าไม่สามารถจะรองรับน้ำหนักของเขา เอาไว้ได้ จึงอ่อนตัวยุบลงแล้วนันทมาณพก็จมดิ่งลงในแผ่นดิน ไปเกิดในอเวจีมหานรก ฝ่ายพระอุบลวรรณาเถรี ก็มิได้ปิดบังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้บอกแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นกับตน นั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ต่อจากนั้นเรื่องราวของพระเถรีก็ทราบถึงพระบรมศาสดา
พระพุทธองค์ ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า:-
“คนพาล ย่อมร่าเริงยินดีในบาปกรรมลามกที่ตนกระทำ ประดุจว่าดื่มน้ำผึ้งที่มีรสหวาน จนกว่าบาปกรรมนั้นจะให้ผล จึงจะได้ประสบกับความทุกข์ เพราะกรรมนั้น”

พระขีณาสพเหมือนไม้แห้งไม้ผุ เมื่อกาลเวลาล่วงไปภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ของพระ อุบลวรรณาเถรี นั้นว่า:-
“ท่านทั้งหลาย เห็นทีพระขีณาสพทั้งหลาย คงจะยังมีความยินดีในกามสุข คงจะยังจะ พอใจในการเสพกาม ก็ทำไมจะไม่เสพเล่า เพราะท่านเหล่านั้นมิใช่ไม้ผุ มิใช่จอมปลวก อีกทั้ง เนื้อหนังร่างกายทั่วทั้งสรีระก็ยังสดอยู่ ดังนั้น แม้จะเป็นพระขีณาสพก็ชื่อว่ายังยินดีในการเสพ กาม”
พระบรมศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามทรงทราบเนื้อความที่พวกภิกษุเหล่านั้นสนทนากัน แล้วจึงตรัสว่า:-
“ภิกษุทั้งหลาย พระขีณาสพทั้งหลายนั้นไม่ยินดีในกามสุข ไม่เสพกามเปรียบเสมือน หยาดน้ำตกลงในใบบัวแล้วไม่ติดอยู่ ย่อมกลิ้งตกลงไป และเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด ย่อมไม่ ติดตั้งอยู่บนปลายเหล็กแหลม ฉันใด ขึ้นชื่อว่ากามก็ย่อมไม่ซึมซาบ ไม่ติดอยู่ในจิตของพระ ขีณาสพ ฉันนั้น”
ต้นกำเนิดศีล ห้ามภิกษุณีอยู่ป่า ต่อมาพระบรมศาสดา
ทรงพิจารณาเห็นภัยอันจะเกิดแก่กุลธิดาผู้เข้ามาบวชแล้วพักอาศัย อยู่ในป่า อาจจะถูกคนพาลลามกเบียดเบียนประทุษร้าย ทำอันตรายต่อพรหมจรรย์ได้ จึงรับสั่งให้ เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลมาเฝ้า ตรัสให้ทราบพระดำริแล้ว ขอให้สร้างที่อยู่อาศัยเพื่อนางภิกษุณี สงฆ์ในที่บริเวณใกล้ ๆ พระนคร และตั้งแต่นั้นมา ภิกษุณีก็มีอาวาสอยู่ในบ้านในเมืองเท่านั้น พระอุบลวรรณาเถรี ปรากฏว่าเป็นผู้ชำนาญในการแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ดังจะเห็นได้ในวัน ที่ พระบรมศาสดาทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์นั้น พระเถรีก็กราบทูลอาสาขอแสดงฤทธิ์เพื่อต่อสู้ กับพวกเดียรถีย์แทนพระพุทธองค์ ด้วย และทรงอาศัยเหตุนี้จึงได้ทรงสถาปนาพระอุบลวรรณา เถรี นี้ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้มีฤทธิ์ และเป็นอัครสา วิการฝ่ายซ้าย
ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยเรื่องภิกษุณี (นักบวชเป็นผู้หญิง)
ในพระพุทธศาสนา คำว่า ภิกษุณี เป็นศัพท์ที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา โดยเป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาอื่น
ภิกษุณี หรือ ภิกษุณีสงฆ์ จัดตั้งขึ้นโดยพระบรมพุทธานุญาต ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี โดยวิธีรับคุรุธรรม 8 ประการ ในคัมภีร์เถรวาทระบุว่าต่อมาในภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตวิธีการ อุปสมบทภิกษุณีให้มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น จนศีลของพระภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ โดยพระภิกษุณีมีศีล 311 ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีศีลเพียง 227 ข้อเท่านั้น เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมา ก่อน และการตั้งภิกษุณีสงฆ์ควบคู่กับภิกษุสงฆ์อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตราย ร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากได้บุคคลที่ไม่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวช
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ปรากฏว่ามีการตั้งวงศ์ภิกษุณีเถรวาทขึ้นในประเทศไทย อย่างไรก็ตามในประเทศพุทธเถรวาทที่เคยมี หรือไม่เคยมีวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ในปัจจุบัน ต่างก็นับถือกันโดยพฤตินัยว่าการที่อุบาสิกาที่มีศรัทธาโกนศีรษะนุ่งขาวห่ม ขาว ถือปฏิบัติศีล 8 (อุโบสถศีล) ซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า แม่ชี เป็นการผ่อนผันผู้หญิงที่ศรัทธาจะออกบวชเป็นภิกษุณีเถรวาท แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีเถรวาทได้ โดยส่วนใหญ่แม่ชีเหล่านี้จะอยู่ในสำนักวัดซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากกุฎิสงฆ์
ภิกษุณีสายเถรวาทซึ่งสืบวงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลด้วยการบวชถูกต้องตามพระวินัย ปิฎกเถรวาท ที่ต้องบวชในสงฆ์สองฝ่ายคือทั้งภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์ ได้ขาดสูญวงศ์ (ไม่มีผู้สืบต่อ) มานานแล้ว คงเหลือแต่ภิกษุณีฝ่ายมหายาน (อาจริยวาท) ที่ยังสืบทอดการบวชภิกษุณีแบบมหายาน (บวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว) มาจนปัจจุบัน ซึ่งจะพบได้ใน จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และศรีลังกา
ปัจจุบันมีการพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีในฝ่ายเถรวาท โดยทำการบวชมาจากภิกษุณีมหายาน และกล่าวว่าภิกษุณีฝ่ายมหายานนั้น สืบวงศ์ภิกษุณีสงฆ์มาแต่ฝ่ายเถรวาทเช่นกัน แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายมหายานมีการบวชภิกษุณีสืบวงศ์มาโดยมิได้กระทำ ถูกตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีศีลที่แตกต่างกันอย่างมากด้วย ทำให้มีการไม่ยอมรับภิกษุณี (เถรวาท) ใหม่ ที่บวชมาแต่มหายานว่า มิได้เป็นภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีการยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างว่าพระพุทธศาสนาจำกัดสิทธิสตรีด้วย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะพระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้มีภิกษุณีที่นับเป็นการเปิดโอกาสให้มีนักบวช หญิงเป็นศาสนาแรกในโลก เพียงแต่การสืบทอดวงศ์ภิกษุณีได้สูญไปนานแล้ว จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถบวชสตรีเป็นภิกษุณีตามพระวินัยเถรวาทได้
--------------------------------------------------------------------
ติดตามเรื่องน่าอ่านอีกมากมาย ได้ที่ เพจนิทานธรรม
เพจ : www.facebook.com/Nitandham
เว็บไซค์ : http://nitandham.blogspot.com
Youtube : https://goo.gl/F27gUr
--------------------------------------------------------------------

สาเหตุที่พระเทวทัตอาฆาตพระพุทธเจ้า



สาเหตุที่พระเทวทัตอาฆาตพระพุทธเจ้า

เรื่องมีอยู่ว่า ได้มีพ่อค้าเร่สองคนชาวแคว้นเสริวรัฐ มีชื่อเดียวกันว่าเสรีวะ คนหนึ่งคือพระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน) อีกคนหนึ่งคือพระเทวทัตในปัจจุบัน ทั้งสองได้ทำการค้าขายเร่ รับซื้อและขายของไปตามหัวเมืองต่าง ๆ
จนวันหนึ่งทั้งสองได้ไปค้าขายเครื่องประดับในเมืองอริฏฐปุระ โดยตกลงแบ่งให้เข้าไปขายคนละทาง
เพื่อว่าการค้าจะได้ไม่แข่งขันขัดตัดประชันราคากัน
พ่อค้าคนแรก (พระเทวทัต) ได้ตะโกนเร่ขายของตามถนนในเมืองไปเรื่อย ๆ จนไปถึงบ้านอดีตเศรษฐีผู้ดีเก่าตกยากหลังหนึ่ง ที่เหลืออยู่แต่เพียงยายกับหลานสาวในบ้านเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมด้วยฐานะที่ ยากไร้ เมื่อหลานสาวได้ยินเสียงพ่อค้าเที่ยวรับซื้อและเร่ขายของ จึงได้วิ่งออกมาดู จึงร้องบอกถึงความอยากได้เครื่องประดับ หลานสาวขอร้องให้ยายซื้อให้ ยายจึงเรียกพ่อค้าเข้ามาสอบถามและนำถาดเก่าคล้ำมอมซึ่งเป็นสมบัติของตระกูล ใบหนึ่งมาให้พ่อค้าตรวจดูเพื่อแลกซื้อเครื่องประดับให้หลาน
เหตุการณ์ปรากฏว่าพ่อค้าเลวนั้นแสร้งตรวจดู รู้ว่าเป็นถาดทองคำอันมีค่าราคาถึงแสนกหาปณะ ไม่ใช่ถาดโลหะธรรมดา ด้วยความที่พ่อค้าเป็นคนละโมภ อยากได้ถาดทองคำด้วยวิธีโกง จึงกล่าวแกล้งว่าราคาผิดความจริง ทำทีว่าถาดเก่านั้นไม่น่าสนใจไม่มีราคาจะแลกเปลี่ยน พร้อมกันนั้นก็โยนถาดนั้นทิ้งแล้วลุกจากเดินหนีไป โดยหวังเล่ห์กลว่าสักพักสักครู่จะเข้ามาใหม่เพื่อขอแลกของประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ กับถาดทองของสองยายหลาน
คล้อยหลังไปไดสักพัก พ่อค้าพระโพธิสัตว์ผ่านมา เห็นพ่อค้าคนแรกออกจากตรอกทางนั้นไปแล้ว จึงแวะเข้ามาขายเครื่องประดับ ซึ่งคราวนี้ สองคนหลานสาวกับยายก็กระทำอาการอย่างที่ร้องบอกแก่พ่อค้าคนแรก ร้องบอกให้ตรวจดูถาดเก่าๆ คล้ำมอม ใบเดิมนั้น เผื่อว่าพ่อค้ารายนี้จะรับแลกเปลี่ยนไว้ด้วยเครื่องประดับอะไรสักอย่าง
เมื่อพ่อค้าตรวจถาดเก่าดูก็รู้ว่าเป็นถาดทองคำ มีราคาตั้งแสนกหาปณะ พ่อค้าพระโพธิสัตว์ (อดีตชาติของพระสมณโคดม) จึงบอกยายเจ้าของถาด ว่า “ ถาดนี้เป็นถาดทองมีราคามหาศาล ของที่ฉันนำมาเร่ขายทั้งหมดนี่ก็สู้ราคาถาดของยายไม่ได้หรอกจ๊ะ ”
ยายเจ้าของถาดเห็นความซื่อสัตย์ของพ่อค้าจึงบอกว่า
“ ถาดนี้ เมื่อกี้พ่อค้าอีกคนโยนลงพื้นดูถูกว่าของไม่มีราคา แต่คราวนี้พ่อมาบอกว่ามีราคาตั้งแสน พ่อนี่ช่างตาถึงมีบุญเหลือเกิน เอาอย่างนี้ ฉันให้ถาดนี้แก่ท่าน เอาไปเถิด ส่วนท่านจะให้ของขายอะไรแก่ฉันกะหลานก็ได้ตามใจเถิด
”พ่อค้าพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า “
เอาอย่างนี้นะยาย ฉันยกของที่ฉันเอามาขายและเงินที่ติดตัวมาให้ยายหมดเลยก็แล้วกัน ฉันขอแค่ตาชั่งเอาไว้ทำมาหากินและเงินสัก 8 กหาปณะพอค่าเดินทางก็พอจ๊ะ ”
เมื่อพ่อค้าได้ถาดทองแล้ว จึงเดินทางไปที่เรือเพื่อเดินทางกลับ ปรากฏว่า หลังจากพ่อค้าคนแรกเดินไปได้สักพักใหญ่ จึงย้อนมาหายายขายถาดคนเก่าเพื่อจะขอซื้อถาดใบนั้นในราคาถูก แต่เมื่อยายเห็นพ่อค้าเข้ามาก็ตะเพิดไปว่า “ ไอ้พ่อค้าจัญไร! แกได้ทำให้ถาดทองคำต้องไร้ค่า ชิชะ! มาตอนนี้จะมาขอซื้อ ไป! จงไปเสียเจ้าคนโกง เมื้อสักครู่นี้ ฉันได้ยกถาดที่แกอยากได้มอบให้แก่พ่อค้าตาถึงไปแล้ว และยังได้ทรัพย์มาตั้งพันกหาปณะ ”
เมื่อพ่อค้าคนแรกได้ฟังดังนั้นถึงกับตกใจแค้นถึงสิ้นสติสลบฟุบไป พอฟื้นขึ้นก็เกิดความเสียดายอย่างเป็นกำลัง ถึงกับโปรยเงินและข้าวของที่นำมาเร่ขายทิ้งไว้หน้าบ้านยายแก่ แล้วก็ถือคันชั่งวิ่งตามรอยเท้าพระโพธิสัตว์ หวังจะแย่งถาดทองคืน เมื่อไปถึงฝั่งแม่น้ำนั้น เห็นพระโพธิสัตว์กำลังขึ้นเรือไปอยู่ จึงกล่าวว่า “ นายเรือโว้ย! เอาเรือกลับเข้าฝั่งเดี๋ยวนี้ ๆ ” พระโพธิสัตว์ห้ามนายเรือว่า “ อย่ากลับ ๆ ” และแล่นเรือลับไป
เมื่อพ่อค้าพาล เห็นพระโพธิสัตว์นั่งเรือหายวับไป จึงเกิดความโศกเศร้าเสียดายและเสียใจอย่างที่สุด ถึงกับอาเจียนออกเป็นโลหิต และตั้งสำคัญผิดผูก ***อาฆาตพยาบาทจองเวรพระโพธิสัตว์*** พ่อค้าเลวซึ่งหมายถึงอดีตชาติของพระเทวทัตถึงกับสิ้นชีวิตลง ณ ที่นั้นนั่นเอง.
จบเรื่องนี้ใน เสริววาทนิชชาดก เอกนิบาท เท่านี้.
--------------------------------------------------------------------------------------------
ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ความคดโกงไม่ดีเลย”
“โลภนักมักฉิบหาย โลภนักมักตัวตาย”
“ความโลภอยากได้ของเขา ทำให้เกิดความโกรธ”
"ความโกรธ เป็นไฟเผาร้อนในใจ"
"การอาฆาตพยาบาทจองเวร ก็เหมือนตกอยู่ในไฟนรกไม่มีที่สิ้นสุด"
--------------------------------------------------------------------------------------------
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงเรื่องราวที่พระเทวทัตเริ่มต้นจองเวรกับพระพุทธเจ้า ไว้ใน เสรีววาณิชชาดก ซึ่งปรากฏเนื้อหาโดยละเอียดในคัมภีร์อรรถกถา
— พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑ อรรถกถา เสรีววาณิชชาดก
-----------------------------------------------------------------------
รวมนิทานและเรื่องเล่าในพุทธศาสนา กดไลท์เพจ
www.facebook.com/Nitandham

สามเณร ชะตาขาด


เรื่อง สามเณร ชะตาขาด

เรื่องมีว่า พระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายขวา รับเอาสามเณรติสสะมาอยู่ในการอบรมดูแล ได้ 1 ปี วันหนึ่ง พระสารีบุตรสังเกตเห็นนิมิตบางอย่างที่บอกว่า สามเณร ติสสะจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกเพียง 7 วัน ด้วยเมตตาและความสงสารสามเณร จึงบอกสามเณรให้ทราบว่าสามเณรจะสิ้นชีวิตในอีก 7 วัน พร้อมกับอนุญาตให้สามเณรไปบอกลาสั่งเสียญาติมิตร สามเณรติสสะก็เดินทางไปเพื่อลาญาติพี่น้อง
ในระหว่างที่สามเณรเดินทางกลับไปบ้านญาตินั้น สามเณรได้พบสระน้ำที่น้ำกำลังแห้งขอด มีฝูงปลาติดปลักแห้ง กระเสือกกระสนดิ้นรนรอความตายอยู่ ด้วยความสงสารสามเณรจึงเอาบาตรช้อนตักฝูงปลาทั้งหมด แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำใหญ่ ปลาทุกตัวก็รอดชีวิต
สามเณรติสสะเดินทางต่อไป ในช่วงที่ผ่านป่า ได้พบเก้งตัวหนึ่งติดบ่วงแร้วของนายพราน ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ สามเณรมีใจกรุณาสงสารปล่อยเก้งตัวนั้นออกจากแร้ว ให้พ้นจากความตายไปอีกราย สุดท้ายเดินทางไปถึงบ้านญาติ ได้เล่าเรื่องที่จะเกิดกับตนทั้งหมดตามที่พระสารีบุตรบอกมา ญาติทั้งหลายทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็สงสารสามเณร อดกลั้นน้ำตาไม่ไหว ต่างร้องไห้คร่ำครวญ และเฝ้ารอเวลาที่สามเณรจะมรณภาพในวันที่ 7 ตามคำบอก
เมื่อครบกำหนด 7 วัน สามเณรติสสะ กลับไม่มรณภาพตามที่พระสารีบุตรพยากรณ์ไว้ แถมล่วงเลยไปอีกหลายสัปดาห์ก็ยังไม่มรณภาพ สามเณรรู้สึกว่าตนคงไม่ตายแล้ว จึงได้เดินทางกลับไปหาพระสารีบุตรอีก เล่าเรื่องต่างๆที่ตนได้กระทำลงไป เช่น การปล่อยปลาและเก้งในระหว่างทางก่อนถึงบ้านญาติ
พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า ด้วยอานิสงส์การให้ทานชีวิต ปล่อยปลาและสัตว์ที่จะถึงฆาตให้รอดตาย เป็นการประกอบมหากุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ ด้วยเดชานุภาพของมหากุศลกรรมนั้น จึงสามารถสืบต่อชีวิตที่กำลังจะขาดไปของสามเณรได้
........................................
เรื่อง สามเณรติสสะ ในส่วนนี้เป็นหลักฐานที่พบจากเอกสารชั้นรองและเป็นเรื่องเล่า ปรำปราสืบๆกันมา เกี่ยวกับตำนานสืบชะตา หรือ อานิสงส์สืบชะตา ที่คนผู้มีชะตาขาด แต่กลับรอดตาย เพราะได้ช่วยชีวิตปลาที่ติดปลักแห้ง และช่วยเก้งที่ติดบ่วงนายพรานให้พ้นจากอันตราย มีชีวิตรอด การทำเช่นนี้ ทางศาสนาเรียกว่า ชีวิตทาน คือการให้ชีวิต
ชาวพุทธไทยคงถือเรื่องนี้เป็นแบบอย่างกระมัง เมื่อผู้ใดทำบุญสะเดาะเคราะห์ จึงมักจะปล่อยปลา และนกให้เป็นอิสระอีกด้วย และการที่พระเกจิอาจารย์บางวัดแนะนำให้ทำบุญด้วยการไถ่ชีวิตโค กระบือ และสัตว์อื่นจากโรงฆ่าสัตว์ ถือว่าได้บุญมาก และเป็นการสืบชะตากำเนิดของตนอีกด้วย
**ข้อคิดจากเรื่องนี้**
การบำเพ็ญชีวิตทานของสามเณรติสสะ เกิดจากการุญจิต และสัตว์เหล่านั้นถึงคราวอับจน หากไม่มีใครช่วยเหลือ ต้องสิ้นชีวิตแน่ๆ แต่ในปัจจุบัน การทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาสะเดาะเคราะห์ มักจะทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ด้วยนกและปลาเป็นสัตว์ที่ถูกจับมาขังไว้เพื่อการพานิช ขายให้ผู้ใจบุญได้ปล่อย และคนขายก็ไปจับมาขายแล้วขายอีก เวียนเทียนอยู่อย่างนี้ ดูท่าจะไม่เข้าทีนัก ส่วนการทำบุญด้วยการไถ่ชีวิตโค กระบือ หรือสัตว์ที่ถึงฆาตจากโรงฆ่า
ถือว่าได้บุญมาก และเป็นการสืบชะตากำเนิดของตนอีกด้วย ผู้อ่านลองใช้หลักการ และเหตุผลตรองดูนะครับ

ขอบพระคุณที่ติดตาม
นิทานธรรม
----------------------------------------------------------------------------
รวมนิทานและเรื่องเล่าในพุทธศาสนา กดไลท์เพจ
www.facebook.com/Nitandham
ที่มาจาก
http://phil-re4you.blogspot.com/2015/05/blog-post_26.html
ไม่ทราบที่มาของภาพ ผู้เขียนขออนุญาตลงไว้ให้เป็นธรรมทาน
----------------------------------------------------------------------------

ผีผู้หญิง จะเอาหลวงปู่แหวนไปทำผัว


ผีผู้หญิง จะเอาหลวงปู่แหวนไปทำผัว

ดูชื่อหัวเรื่อง ค่อนข้างอาจหาญมาก ผู้เขียนกราบขออภัยต่อหลวงปู่ด้วยครับ
หลวงปู่ตื้อนั่งอยู่บนศาลานั้น ตกกลางคืนท่านสวดมนต์ไหว้พระ ไม่มากหรอก ท่านให้เหตุผลว่า
“ไม่สวดมนต์มาก เอาพอเป็นพิธีนิดๆ หน่อย หรือพอสาบานน้ำไม่ให้ไหลได้เท่านั้น!”
(คำนี้เป็นปริศนาธรรม ลองพิจารณาดูก็พอจะคิดออก แต่ผู้หญิงคงเข้าใจลำบากหน่อย ผู้ชายมีโอกาสคิดได้มากกว่า__ผู้เขียน)
เออ...นั่นท่านสวดมนต์พอเป็นพิธี พอสาบานน้ำไม่ให้ไหลได้เท่านั้น...พิจารณาเอาเองนะ เสร็จแล้วท่านก็นั่งภาวนา จิตสงบดี สว่างทั่วบริเวณนั้น
ผีผู้หญิงก็มาปรากฏ เข้ามาเลย ปรี่เข้ามาหา เสร็จแล้วท่านก็เพ่งจิตเข้าใส่ บอกว่า หยุด !
“เจ้าไม่รู้จักพระสงฆ์ผู้มีศีลมีธรรมเลยจริงๆ เจ้าจะเอาอะไร? เจ้ามาจากไหนวะ? เจ้าผีร้าย”
ผีก็ตอบว่า “ใช่แล้ว ฉันเป็นผีตายทั้งกลม ลูกตายในท้อง เขาเอามาฝังไว้ที่นี่”
“อ้าว ! เจ้าใช่ไหมที่ทำพระสงฆ์ท่าน?”
“ใช่ ! ”
“แล้วทำท่านทำไม บาปกรรมรู้ไหม?”
ดิฉันชอบพระรูปนั้น ท่านสวย ท่านหล่อดี ฉันชอบท่าน จะเอาพระรูปนั้นไปทำผัว”
หลวงปู่ตื้อได้ฟังก็พูดว่า
“โอ. ท่านแหวนนี่มีเสน่ห์หลายนะ ผีจะเอาทำผัวน่ะ เกือบมิล่ะ...เจ้ามันเป็นบ้านะเออ พระเจ้าท่านมาหาบำเพ็ญภาวนา หาศีลหาธรรม ละเว้นกิเลสตัณหา จะมาเอาท่านเป็นผัว เป็นบาปกรรมนะ เวลานี้เจ้าก็เป็นเปรตเป็นผีอยู่จะให้ตกนรกมากกว่านี้หรือ
ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่าทำพระป่าพระธุดงค์นะ เห็นท่านก็อนุโมทนาสงเคราะห์ท่านซี จะได้ไปเกิด... เอาเจ้ารับศีลเดี๋ยวนี้..”
นั่น...หลวงปู่ตื้อ ท่านให้ผีรับศีลเลย สอนศีลห้าให้ จนผีตัวนั้นลดละทิฏฐิลง ยอมรับความดีงาม
แรกๆ มันไม่รู้ มันบอกไม่รู้ว่าเป็นพระเป็นเจ้า “หลวงปู่แหวน ตอนเป็นพระรุ่นหนุ่ม ท่านผิวขาว งามหลายนะ มันก็จะเอาไปเป็นผัวละซี”
หลวงปู่ตื้อ ท่านเล่าว่า “เราอยู่ที่ศาลาหลังนี้เป็นเวลา ๑ เดือน อยู่สอนผีตนนั้นให้รู้จักทำดีบ้าง อย่างน้อยก็จะเป็นวิสัยตามส่ง เราก็แผ่เมตตาให้ ทำบุญให้บ้าง จนผีผู้หญิงนี้ค่อยๆ สุขสบายขึ้น”
แล้วหลวงปู่ตื้อจึงเดินทางมุ่งไปทางจังหวัดเชียงใหม่ ไปพบหลวงปู่มั่น พบหลวงปู่แหวน ที่วัดเจดีย์หลวง ในตัวเมืองเชียงใหม่ แล้วญัตติเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตเป็นศิษย์ติดตามหลวงปู่มั่นต่อไป
โอ! ขนาดผี หลวงปู่ยังเมตตาถึงเพียงนี้ เสียสละเวลาให้ถึง ๑ เดือนเต็มๆ แล้วลูกศิษย์ที่เป็นคนละ? ท่านจะเมตตาและเสียสละให้สักเพียงไรหนอ? นี่แหละครูบาอาจารย์ที่แท้จริง....สาธุ...ขอกราบแทบเท้าหลวงปู่ด้วยเศียร เกล้า
-------------------------------------------------------------
รวมนิทานและเรื่องเล่าในพุทธศาสนา กดไลท์เพจ
www.facebook.com/Nitandham
ที่มาจาก dharma-gateway
-------------------------------------------------------------